วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Introduction

Introduction

Bonjour Je m'appelle Sangsiri. Je suis thaïlandaise. Je suis née le 8  Août 1998. J'ai 15 ans.J'habite chez mes parents, à Nakhonpathom, une petite ville près de Bangkok, la capitale du pays.Je suis élève en seconde à l'école Rachiniebourana.Je vais à l'école en voiture.J'aime le français etl'anglais.J'aime aussi la musique pop et j'aime regarder la télévision.Je voudrais être hôtesse de l'air parce que j'aime voyager.


Sigmund Freud
       ซิกมุนด์ ฟรอยด์ ( 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1856 — 23 กันยายน ค.ศ. 1939) เป็นประสาทแพทย์ชาวออสเตรีย ผู้เป็นที่รู้จักในฐานะบิดาแห่งจิตวิเคราะห์

บิดามารดาของฟรอยด์ยากจน แต่ได้ส่งเสียให้ฟรอยด์ได้รับการศึกษา เขาสนใจกฎหมายเมื่อครั้งเป็นนักเรียน แต่เปลี่ยนไปศึกษาแพทยศาสตร์แทน โดยรับผิดชอบการวิจัยโรคสมองพิการ ภาวะเสียการสื่อความ และจุลประสาทกายวิภาคศาสตร์ เขาเดินหน้าเพื่อพัฒนาทฤษฎีเกี่ยวกับจิตไร้สำนึกและกลไกของการกดเก็บ และตั้งสาขาจิตบำบัดด้วยวาจา โดยตั้งจิตวิเคราะห์ ซึ่งเป็นวิธีการทางคลินิกเพื่อรักษาจิตพยาธิวิทยาผ่านบทสนทนาและระหว่างผู้รับการรักษากับนักจิตวิเคราะห์ แม้จิตวิเคราะห์จะใช้เป็นการปฏิบัติเพื่อการรักษาลดลง แต่ก็ได้บันดาลใจแก่การพัฒนาจิตบำบัดอื่นอีกหลายรูปแบบ ซึ่งบางรูปแบบแตกออกจากแนวคิดและวิธีการดั้งเดิมของฟรอยด์

ฟรอยด์ตั้งสมมุติฐานการมีอยู่ของ libido (พลังงานซึ่งให้กับกระบวนการและโครงสร้างทางจิต) พัฒนาเทคนิคเพื่อการรักษา เช่น การใช้ความสัมพันธ์เสรี (ซึ่งผู้เข้ารับการรักษารายงานความคิดของตนโดยไม่มีการสงวน และต้องไม่พยายามเพ่งความสนใจขณะทำเช่นนั้น) ค้นพบการถ่ายโยงความรู้สึก (กระบวนการที่ผู้รับการรักษาย้ายที่ความรู้สึกของตนจากประสบการณ์ภาพในอดีตของชีวิตไปยังนักจิตวิเคราะห์) และตั้งบทบาทศูนย์กลางของมันในกระบวนการวิเคราะห์ และเสนอว่า ฝันช่วยรักษาการนอนหลับ โดยเป็นเครื่องหมายของความปรารถนาที่สมหวัง ที่หาไม่แล้วจะปลุกผู้ฝัน เขายังเป็นนักเขียนบทความที่มีผลงานมากมาย โดยใช้จิตวิเคราะห์ตีความและวิจารณ์วัฒนธรรม

จิตวิเคราะห์ยังทรงอิทธิพลอยู่ในทางจิตเวชศาสตร์ และต่อมนุษยศาสตร์โดยรวม แม้ผู้วิจารณ์บางคนจะมองว่าเป็นวิทยาศาสตร์ลวงโลกและกีดกันทางเพศ การศึกษาเมื่อ ค.ศ. 2008 เสนอว่า จิตวิเคราะห์ถูกลดความสำคัญในสาขาจิตวิทยาในมหาวิทยาลัย แม้ว่าทฤษฎีของฟรอยด์จะมีเนื้อหาทางวิทยาศาสตร์อยู่ก็ตาม แต่ผลงานของเขาได้รับการตีแผ่ในความคิดเชิงปัญญาและวัฒนธรรมสมัยนิยม

ความคิดของ Sigmund Freud

จิตไร้สำนึก
มโนทัศน์จิตไร้สำนึกเป็นศูนย์กลางการบรรยายจิตของฟรอยด์ ฟรอยด์เชื่อว่า กวีและนักคิดผิวขาวรู้ถึงการมีอยู่ของจิตไร้สำนึกมานานแล้ว เขามั่นใจว่า จิตไร้สำนึกได้รับการรับรองอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ในสาขาจิตวิทยา อย่างไรก็ดี มโนทัศน์ดังกล่าวปรากฏขึ้นอย่างไม่เป็นทางการในงานเขียนของฟรอยด์ ครั้งแรกถูกเสนอมาเชื่อมโยงกับปรากฏการณ์การกดเก็บ เพื่ออธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นต่อความคิดซึ่งถูกกดเก็บ ฟรอยด์ระบุชัดเจนว่า มโนทัศน์จิตไร้สำนึกอาศัยทฤษฎีการกดเก็บ เขาตั้งสมมุติฐานวัฏจักรที่ความคิดถูกกดเก็บ แต่ยังคงอยู่ในจิต โดยนำออกจากความรู้สึกตัวแต่ยังเกิดผลอยู่ แล้วกลับมาปรากฏในความรู้สึกตัวอีกครั้งภายใต้กรณีแวดล้อมบางประการ สมมุติฐานดังกล่าวอาศัยการสืบค้นผู้รับการรักษา traumatic hysteria ซึ่งเปิดเผยผู้รับการรักษาที่พฤติกรรมของผู้ป่วยไม่สามารถอธิบายได้โดยไม่อ้างอิงถึงความคิดที่พวกเขาไม่มีสติ ข้อเท็จจริงนี้ ประกอบกับการสังเกตว่า พฤติกรรมเช่นนั้น มนุษย์อาจชักนำให้เกิดได้โดยการสะกดจิต ซึ่งความคิดจะถูกใส่เข้าไปในจิตของบุคคล แนะนัยว่า แนวคิดเกิดผลอยู่ในผู้รับการรักษาดั้งเดิม แม้ว่าผู้รับการทดลองจะไม่ทราบถึงความคิดนั้นก็ตาม

ฝัน
ฟรอยด์เชื่อว่า หน้าที่ของฝันคือ การรักษาการนอนหลับโดยแสดงภาพความปรารถนาที่สมหวัง ซึ่งหาไม่แล้วจะปลุกผู้ฝัน

พัฒนาการความต้องการทางเพศ
ฟรอยด์เชื่อว่า libido หรือความต้องการทางเพศนี้พัฒนาขึ้นในปัจเจกบุคคลโดยการเปลี่ยนแปลงวัตถุ กระบวนการซึ่งประมวลโดยมโนทัศน์การเปลี่ยนให้เป็นที่ยอมรับ (sublimation) เขาแย้งว่า มนุษย์เกิดมา  วิตถารหลายรูปแบบ หมายความว่า วัตถุใด ๆ ก็เป็นแหล่งความพึงพอใจได้ เขายังแย้งต่อไปว่า เมื่อมนุษย์พัฒนาขึ้น พวกเขาจะติดข้องในวัตถุต่าง ๆ ผ่านขั้นพัฒนาการของเขา ได้แก่ ขั้นปาก ยกตัวอย่างเช่น ความพึงพอใจของทารกในการเลี้ยงดู ขั้นทวารหนัก ยกตัวอย่างเช่น ความพึงพอใจของเด็กเล็กในการถ่ายที่กระโถนของตน แล้วมาสู่ขั้นอวัยวะเพศ ในขั้นอวัยวะเพศนี้ ฟรอยด์ยืนยันว่า ทารกชายจะติดข้องต่อมารดาของตนเป็นวัตถุทางเพศ (รู้จักในชื่อ ปมเอดิเพิส) ระยะซึ่งสิ้นสุดลงด้วยการขู่ว่าจะตอน (castration) ซึ่งส่งผลให้เกิด ปมการตอน อันเป็นแผลที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตวัยเยาว์ของเขา ในงานเขียนภายหลังของเขา ฟรอยด์ได้ตั้งสมมุติฐานถึงสถานการณ์ที่เทียบเท่ากับปมเอดิปุสในทารกหญิง โดยเป็นการติดข้องทางเพศอยู่กับบิดาของตน เรียกว่า ปมอิเล็กตรา ในบริบทนี้ แม้ว่าฟรอยด์จะมิได้เสนอคำดังกล่าวเองก็ตาม พัฒนาการความต้องการทางเพศขั้นแฝงอยู่ก่อนพัฒนาการความต้องการทางเพศขั้นสนใจเพศตรงข้าม เด็กต้องการได้รับความพึงพอใจในปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละขั้นเพื่อที่จะก้าวสู่ขั้นพัฒนาการต่อไปอย่างง่ายดาย แต่การได้รับความพึงพอใจน้อยหรือมากเกินไปอาจนำไปสู่การติดข้องในขั้นนั้น และอาจก่อให้เกิดพฤติกรรมถดถอยกลับไปยังขั้นนั้นในชีวิตภายหลังได้

อิด อัตตาและอภิอัตตา
อิด (id) เป็นส่วนของจิตใจที่ไร้สำนึก หุนหันพลันแล่นและเหมือนเด็กซึ่งปฏิบัติการบน หลักความพึงพอใจ และเป็นแหล่งที่มาของแรงกระตุ้นและแรงขับพื้นฐาน อิดแสวงความต้องการและความพึงพอใจทันที ส่วนอภิอัตตา (superego) เป็นองค์ประกอบทางศีลธรรมของจิตใจ ซึ่งพิจารณาว่า ไม่มีกรณีแวดล้อมพิเศษใดที่สิ่งที่ถูกต้องทางศีลธรรมอาจไม่ถูกต้องต่อสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น อัตตา (ego) ที่ปฏิบัติการอย่างเป็นเหตุเป็นผล พยายามรักษาสมดุลระหว่างการแสวงความพึงพอใจของอิดและการเน้นศีลธรรมของอภิอัตตาซึ่งปฏิบัติไม่ได้จริง อัตตาเป็นส่วนของจิตใจที่โดยปกติสะท้อนโดยตรงในการแสดงออกของบุคคลมากที่สุด เมื่อรับภาระหนักเกินไปหรือถูกคุกคามจากหน้าที่ของอัตตา มันจะใช้กลไกป้องกันตนเอง ซึ่งรวมถึงการปฏิเสธ การกดเก็บและการย้ายที่ มโนทัศน์นี้โดยปกติแสดงภาพโดย "แบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง" แบบจำลองนี้แสดงบทบาทของอิด อัตตาและอภิอัตตาตามความคิดเกี่ยวกับ ภาวะรู้สำนึกและไม่รู้สำนึก

ฟรอยด์เปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างอัตตากับอิดว่าเหมือนสารถีกับม้า โดยม้าเป็นพลังงานและแรงขับ ส่วนสารถีคอยชี้นำ

ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ Sigmund Freud

          
                   Sigmund Freud (1856-1939)

ทฤษฎีจิตวิเคราะห์คิดค้นโดย Sigmund Freud (1856-1939) ซึ่งเป็นจิตแพทย์ชาวเวียนนีส ทฤษฎีของเขาได้รับการยอมรับเป็นอย่างมากในยุคนั้น มีแนวคิดต่าง ๆ เกี่ยวกับปัญหาด้านจิตใจที่พัฒนาตามมาอีกมากมาย แม้ในปัจจุบันความสำคัญของทฤษฎีจิตวิเคราะห์จะมีบทบาทลดลง ทฤษฎีด้านชีวภาพและการรักษาด้วยยามีบทบาทมากขึ้น แต่ก็ยังเป็นที่ยอมรับกันว่า ทฤษฎีจิตวิเคราะห์เป็นส่วนที่ช่วยให้เข้าใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของจิตใจได้เป็นอย่างดี

ทฤษฎีพื้นฐาน
จิตใจของคนเราสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับตามการรับรู้ ได้แก่
1. จิตสำนึก (The conscious) เป็นส่วนของจิตใจที่คนเรารู้สึกนึกคิดอยู่ในแต่ละขณะ
2. จิตก่อนสำนึก (The preconscious) เป็นส่วนของจิตใจที่ตามปกติแล้วเราไม่ได้ตระหนักถึง แต่หากใช้ความตั้งใจก็จะขึ้นมาสู่จิตสำนึกได้ เช่น การพยายามนึกถึงเหตุการณ์บางอย่างในอดีต
3. จิตไร้สำนึก (The unconscious) เป็นความรู้สึกนึกคิด หรือความต้องการที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ตามปกติไม่อาจขึ้นมาในระดับจิตสำนึกได้ อาจแสดงออกมาในความฝัน หรือแสดงเป็นอาการต่าง ๆ ของผู้ป่วย ซึ่งจะเบี่ยงเบนไปจากความคิดหรือความต้องการดั้งเดิม

และฟรอยด์ยังแบ่งกระบวนการคิดออกเป็น 2 ลักษณะ
1. Secondary Process เป็นกระบวนการคิดที่เราคุ้นเคยและใช้กันอยู่ ในระดับจิตสำนึกและจิตก่อนสำนึกมีกระบวนการคิดเช่นนี้ 
เป็นการคิดที่ยึดเหตุผล มองสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง (reality principle) เช่น คนเราบางครั้งผิดหวังและบางครั้งก็มีสมหวัง หรือสิ่งที่ต้องการบางอย่างอาจต้องรอคอยบ้าง
2. Primary Process เป็นกระบวนการคิดในระดับจิตไร้สำนึก 
วิธีคิดเป็นแบบเด็ก ๆ ไม่เป็นเหตุเป็นผล ไม่สนใจเรื่องเวลาหรือสถานที่ สิ่งที่ต้องการคือความสุข ความสมหวัง ซึ่งหากต้องการก็จะต้องได้รับการตอบสนองทันทีจึงจะพอใจ โดยไม่คำนึงว่าผลตามมาจะเป็นอย่างไร (pleasure principle) 

ตัวอย่างที่เห็นชัดได้แก่การฝัน ซึ่งเหตุการณ์ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ สิ่งที่อยู่คนละมิติ คนละเวลากัน สามารถมาอยู่ด้วยกันได้ หากนึกถึงอะไรก็จะได้สิ่งนั้น

ฟรอยด์ยังแบ่งโครงสร้างของจิตใจออกตามหน้าที่ออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่
1. Id 
เป็นส่วนที่อยู่ในจิตไร้สำนึกเท่านั้น เป็นแรงผลักดันดั้งเดิมของคนเรา แบ่งออกเป็นแรงผลักดันทางเพศ (libidinal drive) และแรงผลักดันทางความก้าวร้าว (aggressive drive) การแสดงออกของ id เป็นไปตาม primary process และ pleasure principle
2. Ego 
เป็นส่วนที่ทำหน้าที่อยู่ทั้ง 3 ระดับของจิตใจ โดยจะควบคุมบริหารจัดการต่อแรงผลักดันต่าง ๆ ที่มามีปฏิสัมพันธ์กัน ทำหน้าที่ประนีประนอมระหว่างแรงผลักดันจาก id กับระเบียบหรือข้อจำกัดจากสภาพเป็นจริงภายนอก และแรงต่อต้านจาก superego โดยการทำหน้าที่เป็นไปตาม secondary process และ reality principle
3. Superego 
เป็นส่วนของจิตใจที่พัฒาขึ้นมาในระยะ edipal แบ่งออกเป็น conscience หรือมโนธรรมซึ่งมีหน้าที่คอยตัดสินความคิด การกระทำว่าถูกหรือผิด และ ego ideal ซึ่งเป็นส่วนของบุคคลในอุดมคติที่เราอยากเป็นหรืออยากเอาแบบอย่าง


กลไกการเกิดอาการ (Symptom Formation)

ปกติแรงผลักดันต่าง ๆ ภายในจิตใจ และจากสิ่งแวดล้อมจะมีปฏิสัมพันธ์กันโดยตลอด ไม่หยุดนิ่ง (dynamic) แรงผลักดันจาก id จะถูกต่อต้านโดย ego เนื่องจากหากความต้องการจาก id ได้ขึ้นสู่จิตสำนึก หรือแสดงออกโดยตรงอาจก่อให้เกิดผลเสียแก่บุคคลนั้นได้ ในบางขณะ superego จะเข้ามามีบทบาทร่วมด้วยแรงผลักดันที่มีลักษณะตรงข้ามกันเหล่านี้จะก่อให้เกิดความขัดแย้ง (conflict) ขึ้น ซึ่งอาจเป็นความขัดแย้งของโครงสร้างต่าง ๆ ภายในจิตใจ หรืออาจเป็นความขัดแย้งระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อพิจารณาถึงต้นตอของความขัดแย้งต่าง ๆ เหล่านี้จะพบว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากความขัดแย้งระหว่าง id กับ ego ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นจุดสำคัญในทฤษฎีจิตวิเคราะห์ เราเรียกความขัดแย้งระหว่าง id กับ ego นี้ว่า neurotic conflict
             




 เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้นจิตใจจะอยู่ในสภาพเสียสมดุล (disequilibrium) แรงผลักดันจาก id มีแนวโน้มจะพุ่งขึ้นสู่จิตสำนึก ภายใต้สถานการณ์นี้จะเกิดมีสัญญาณเตือนต่อ ego ในลักษณะของความรู้สึกวิตกกังวล(signal anxiety) ทำให้ ego ต้องแก้ไขสถานการณ์โดยใช้กลไกทางจิต (defense mechanism) เข้าช่วย กลไกทางจิตที่ใช้เป็นลำดับแรกได้แก่ การเก็บกด (repression) ถ้าสำเร็จแรงผลักดันจาก id รวมทั้งความรู้สึกนึกคิดที่เกี่ยวเนื่องกับแรงผลักดันนี้จะถูกผลักกลับไปอยู่จิตไร้สำนึกตามเดิม เกิดความสมดุลของจิตใจขึ้นใหม่

ในกรณีที่กลไกทางจิตแบบเก็บกดไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ เนื่องจากแรงผลักดันจาก id รุนแรงมาก ego อ่อนแอลงในช่วงนั้น หรือมีปัจจัยภายนอกมาเสริมแรงผลักดันจาก id ego จะใช้กลไกทางจิตรูปแบบอื่น ๆ เข้าช่วย (auxillary defense) เช่น reaction formation หรือ projection ลักษณะการแสดงออกจะเป็นในรูปแบบของการประนีประนอม (compromise formation) กล่าวคือ ให้แรงผลักดันจาก id ได้ขึ้นมาสู่จิตสำนึกบางส่วนในรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทำให้ความต้องการจากแรงผลักดันดั้งเดิมได้รับการตอบสนองบ้าง ในขณะเดียวกันก็ยังแสดงถึงแรงต่อต้านจาก ego ในรูปแบบของกลไกทางจิตที่ใช้เข้าช่วย อาการต่าง ๆ ของผู้ป่วยที่แสดงออกมานั้นเป็นผลรวมของแรงผลักดันจาก id ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม กลไกทางจิตที่ ego ใช้เข้าช่วยเสริม repression และ signal anxiety ที่ยังอาจมีอยู่บ้าง

กลไกทางจิต (Defense Mechanism)


             
    กลไกทางจิตส่วนใหญ่จะเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในระดับจิตไร้สำนึก ซึ่งผู้ป่วยจะไม่ตระหนักถึงสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ดังเช่นใน displacement ผู้ป่วยแสดงความฉุนเฉียวกับคนใช้ที่บ้าน เนื่องจากรู้สึกว่า คนใช้ชักช้า งุ่มง่าม ไม่เคยได้ดังใจ โดยที่ไม่ทราบว่าตามจริงแล้วเป็นจากการที่ตนโกรธหัวหน้างานแต่แสดงออกไม่ได้จึงมาระบายกับคนใช้
    
    โดยลำพังในตัวของกลไกทางจิตเองไม่ถือว่าเป็นสิ่งผิดปกติ เนื่องจากเป็นการปรับตัวของ ego เพื่อให้จิตใจกลับสู่สมดุล แต่หากบุคคลนั้น ๆ มีการใช้กลไกทางจิตแบบเดิม ๆ อยู่เสมอ ใช้กลไกทางจิตจำกัดอยู่เพียงไม่กี่ชนิด ไม่ยืดหยุ่นปรับตามสถานการณ์ หรือมีการใช้กลไกทางจิตที่ไม่เหมาะสมกับวัยหรือสถานการณ์อยู่บ่อย ๆ ก็มักจะก่อให้เกิดปัญหาหรือจิตพยาธิสภาพในบุคคลนั้นตามมา


กลไกในการป้องกันตัว (Defense Mechanism) ฟรอยด์และบุตรแอนนา ฟรอยด์ ได้แบ่งประเภทกลไกในการป้องกันตัวดังต่อไปนี้

            

1) การเก็บกด (Repression) หมายถึง การเก็บกดความรู้สึกไม่สบายใจ หรือความรู้สึกผิดหวัง ความคับข้องใจไว้ในจิตใต้สำนึก จนกระทั่ง ลืมกลไกป้องกันตัวประเภทนี้มีอันตราย เพราะถ้าเก็บกดความรู้สึกไว้มากจะมีความวิตกกังวลใจมาก และอาจทำให้เป็นโรคประสาทได้
2) การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง (Rationalization) หมายถึง การปรับตัว โดยการหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง โดยให้คำอธิบายที่เป็นที่ยอมรับสำหรับคนอื่น ตัวอย่างเช่น พ่อแม่ที่ตีลูก มักจะบอกว่า การตีทำเพื่อเด็ก เพราะเด็กต้องได้รับการทำโทษเป็นบางครั้งจะได้เป็นคนดี พ่อแม่จะไม่ยอมรับว่าตี เพราะโกรธลูก
3) การถดถอย (Regression) หมายถึง การหนีกลับไปอยู่ในสภาพอดีตที่เคยทำให้ตนมีความสุข ตัวอย่างเช่น เด็ก 2-3 ขวบ ที่ช่วยตนเองได้ มีน้องใหม่ เห็นแม่ให้ความเอาใจใส่กับน้อง มีความรู้สึกว่าแม่ไม่รัก และไม่สนใจตนเท่าที่เคยได้รับ จะมีพฤติกรรมถดถอยไปอยู่ในวัยทารกที่ช่วยตนเองไม่ได้ ต้องให้แม่ทำให้ทุกอย่าง
4) การแสดงปฏิกิริยาตรงข้ามกับความปรารถนาที่แท้จริง (Reaction Formation) หมายถึง กลไกป้องกันตน โดยการทุ่มเทในการแสดงพฤติกรรมตรงข้ามกับความรู้สึกของตนเอง ที่ตนเองคิดว่าเป็นสิ่งที่สังคม อาจจะไม่ยอมรับ ตัวอย่างแม่ที่ไม่รักลูกคนใดคนหนึ่ง อาจจะมีพฤติกรรมตรงข้าม โดยการแสดงความรักมากอย่างผิดปกติ
5) การสร้างวิมานในอากาศ หรือการฝันกลางวัน (Fantasy หรือ Day dreaming) เป็นการสร้างจินตนาการ หรือมโนภาพ เกี่ยวกับสิ่งที่ตนมีความต้องการ แต่เป็นไปไม่ได้ 
6) การแยกตัว (Isolation) หมายถึง การแยกตนให้พ้นจากสถานการณ์ที่นำความคับข้องใจมาให้ โดยการแยกตนออกไปอยู่ตามลำพัง ตัวอย่างเช่น เด็กที่คิดว่าพ่อแม่ไม่รัก อาจจะแยกตนปิดประตูอยู่คนเดียว
7) การหาสิ่งมาแทนที่ (Displacement) เป็นการระบายอารมณ์โกรธ หรือคับข้องใจต่อคน หรือสิ่งของ ที่ไม่ได้เป็นต้นเหตุของความคับข้องใจ เป็นต้นว่า บุคคลที่ถูกนายข่มขู่ หรือทำให้คับข้องใจ เมื่อกลับมาบ้านอาจจะใช้ภรรยา หรือลูกๆ เป็นแพะรับบาป เช่น อาจจะมีพฤติกรรมก้าวร้าวต่อภรรยา และลูก ๆ นักเรียนที่โกรธครู แต่ทำอะไรครูไม่ได้ ก็อาจจะเลือกสิ่งของ เช่น โต๊ะเก้าอี้เป็นสิ่งแทนที่ เช่น เตะโต๊ะ เก้าอี้
8) การเลียนแบบ (Identification) หมายถึง การปรับตัวโดยการเลียนแบบบุคคลที่ตนนิยมยกย่อง ตัวอย่างเช่น เด็กชายจะพยายามทำตัวให้เหมือนพ่อ เด็กหญิงจะทำตัวให้เหมือนแม่

    กลไกในการป้องกันตัว เป็นวิธีการที่บุคคลใช้ในการปรับตัว เมื่อประสบปัญหาความคับข้องใจ การใช้กลไกป้องกันจะช่วยยืดเวลาในการแก้ปัญหา เพราะจะช่วยให้ผ่อนคลายความเครียด ความไม่สบายใจ ทำให้คิดหาเหตุผล หรือแก้ไขปัญหาได้


Tour de France
ตูร์เดอฟร็องส์ (ฝรั่งเศส: Tour de France หมายถึง การท่องฝรั่งเศส) หรือบางครั้งเรียกว่า ลากร็องด์บุกล์ (La Grande Boucle) และ เลอตูร์ (Le Tour) เป็นการแข่งขันจักรยานทางไกลรอบประเทศฝรั่งเศส ซึ่งจัดขึ้นเป็นเวลา 3 สัปดาห์ในช่วงเดือนกรกฎาคมของทุกปี เริ่มจัดขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1903 จนถึงปัจจุบัน (เว้นการจัดแข่งขันในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง)

ตูร์เดอฟร็องส์ เป็นการแข่งขันจักรยานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก เป็นการแข่งขันจักรยานทางไกลหนึ่งในสามรายการใหญ่ที่จัดการแข่งขันในยุโรป รวมเรียกว่า แกรนด์ทัวร์ โดยอีกสองรายการคือ

   - จีโรดีตาเลีย (Giro d'Italia) จัดในอิตาลี ช่วงเดือนพฤษภาคม-ต้นมิถุนายน
   - วูเอลตาอาเอสปันญา (Vuelta a España) จัดในสเปน ช่วงเดือนกันยายน

การแข่งขันครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1903 เกิดขึ้นเนื่องจากการท้าทายกันทางหน้าหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสชื่อ โลโต้ (L'Auto) มีนักแข่งเข้าร่วมจำนวนถึง 60 คน แต่สามารถเข้าเส้นชัยได้เพียง 21 คน ซึ่งกิตติศัพท์ของความยากลำบากในการแข่งขัน ทำให้การแข่งขันนี้เป็นที่สนใจ และมีผู้ชมการแข่งขันช่วงสุดท้ายในกรุงปารีส ตามสองฟากถนนระหว่างทางราว 100,000 คน และกลายเป็นประเพณี ที่การแข่งขันทุกครั้งจะไปสิ้นสุดที่ประตูชัย จตุรัสเดอเลตวล ปารีส


ในปี ค.ศ. 1910 เริ่มมีการจัดเส้นทางแข่งขันเข้าไปในเขตเทือกเขาแอลป์ ปัจจุบันเส้นทางการแข่งขันจะผ่านทั้งเทือกเขาแอลป์ ทางตะวันออก และเทือกเขาพีเรนีสทางใต้ของฝรั่งเศส

 การแข่งขันตูร์เดอฟร็องส์จะแบ่งเป็นช่วง (stage) เพื่อเก็บคะแนนสะสม ผู้ชนะในแต่ละช่วงจะได้รับเสื้อ (jersey) เพื่อสวมใส่ในวันต่อไป โดยมีสีเฉพาะสำหรับผู้ชนะในแต่ละประเภท คือ

 สีเหลือง (maillot jaune - yellow jersey) สำหรับผู้ที่ทำเวลารวมได้น้อยที่สุด
 สีเขียว (maillot vert - green jersey) สำหรับผู้ที่มีคะแนนรวมสูงที่สุด (the leader of the points classification)
 สีขาวลายจุดสีแดง (maillot à pois rouges - polka dot jersey) สำหรับผู้ชนะในเขตภูเขา ซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะว่า จ้าวภูเขา King of the Mountains
 สีขาว (maillot blanc - white jersey) สำหรับผู้ที่ทำเวลารวมได้น้อยที่สุดสำหรับผู้ที่อายุต่ำกว่า 26 ปี
 สีรุ้ง (maillot arc-en-ciel - rainbow jersey) สำหรับผู้ชนะการแข่งขันจักรยานชิงแชมป์โลก (World Cycling Championship) ซึ่งมีกฎว่าจะต้องใส่เสื้อนี้เมื่อแข่งขันในประเภทเดียวกับที่ผู้แข่งนั้นเป็นแชมป์โลกอยู่
 เสื้อแบบพิเศษ สำหรับผู้มีคะแนนรวมสูงสุด และชนะการแข่งขันช่วงย่อย และจ้าวภูเขา


                                   

                                   

 

ผู้ชนะเลิศ
รายชื่อผู้ชนะเลิศตั้งแต่ครั้งแรกในภาษาอังกฤษอยู่ทางด้านขวา
ก่อนหน้าที่แลนซ์ อาร์มสตรอง นักแข่งจักรยานชาวอเมริกันจะถูกตัดสิทธิ์ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2555 จากข้อหาใช้สารกระตุ้น เขาเป็นผู้ที่ชนะการแข่งขันตูร์เดอฟร็องส์มากที่สุด คือ 7 สมัยติดต่อกัน ปัจจุบันผู้ที่ชนะการแข่งขันมากที่สุดเป็นสถิติร่วมระหว่างนักแข่ง 4 คน คือ มีเกล อินดูเรน (สเปน) ชนะ 5 สมัยติดต่อกัน แบร์นาร์ อีโนล (ฝรั่งเศส) ชาก อองเกอตีล (ฝรั่งเศส) และเอดดี เมิกซ์ (เบลเยียม) ชนะคนละ 5 สมัย

ผู้ชนะเลิศตั้งแต่ปี ค.ศ.1991

การแข่งขันครั้งที่     ปี ค.ศ.                         ผู้ชนะเลิศ
     78-82              1991-1995         สเปน มีเกล อินดูเรน (5 ปีติดต่อกัน)
        83                   1996                เดนมาร์ก บียานร์น รีส์
        84                   1997                เยอรมนี แยน อุลริช
        85                   1998                อิตาลี มาร์โก แพนตานี
     86-92              1999-2005         ไม่มีผู้ชนะ (สหรัฐอเมริกา แลนซ์ อาร์มสตรอง ถูกตัดสิทธิ์เนื่องจาก                                                           ใช้สารกระตุ้น)
        93                   2006                สเปน โอสการ์ เปเรย์โร (สหรัฐอเมริกา ฟลอยด์ แลนดิส ถูกตัดสิทธิ์                                                          เนื่องจากใช้สารกระตุ้น
        94                   2007                สเปน อัลเบอร์โต คอนทาดอร์
        95                   2008                สเปน คาร์ลอส ซาสเตร

ในปี 2007 บียานร์น รีส์ ยอมรับว่าได้ใช้สารกระตุ้นระหว่างการแข่งขันทำให้ผู้จัดการแข่งขันปฏิเสธที่จะยอมรับสถานะผู้ชนะเลิศของเขา ทว่าสหพันธ์จักรยานสากล (Union Cycliste Internationale - UCI) แถลงว่าหมดเวลาที่จะตัดสิทธิ์เขาจากการเป็นผู้ชนะเลิศ จึงเพียงแต่ขอร้องให้เขาคืนเสื้อสีเหลืองที่แสดงสถานะของการเป็นผู้ชนะเลิศ 


การแข่งขันจักรยานตูร์เดอฟร็องส์ Tour de France
เสื้อในการแข่งขัน
เสื้อในการแข่งขันนั้นมีแบ่งออกเป็นสี่ประเภทพิเศษเพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงใครคือผู้นำในการแข่งขันประเภทนั้นๆ

1.เสื้อแข่งขันสีเหลือง


นี่คือเสื้อหลัก ๆ และสำคัญที่สุดอันดับหนึ่ง เสื้อตัวนี้จะมอบให้กับนักปั่นที่ทำเวลารวมได้น้อยที่สุดตลอดเส้นระยะเวลาการแข่งขัน รวมไปถึงความเป็นเลิศในทุก ๆ ด่านไม่ว่าจะเป็นเส้นทางของภูเขา ระยะเวลา และเส้นทางลาด

2.เสื้อลายจุด

เสื้อในการแข่งขันตัวนี้แสดงให้เห็นถึงใครคือราชาแห่งการแข่งขันเส้นทางภูเขา เสื้อตัวนี้จะให้กับผู้แข่งขันใดก็ตามที่ข้ามเส้นทางของภูเขาได้เป็นคนแรก
3.เสื้อแข่งขันสีเขียว
เสื้อแข่งขันสีเขียวแสดงถึงผู้ที่มีคะแนนรวมสูงที่สุด คะแนนนี้จะถูกมอบแก่นักปั่นที่สำเร็จด่านเป็นคนแรก


4.เสื้อแข่งขันสีขาว

                  เสื้อนี้จะเหมือนกับเสื้อแข่งขันสีเหลือง แต่จะมอบให้แก่นักปั่นที่อายุน้อยกว่า 26 ปี

เทือกเขายอดนิยม
ในทุก ๆ ปีเส้นทางของการแข่งขันตูร์เดอฟร็องส์ (Tour de France)จะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ในหลายครั้งที่บางเทือกเขาจะถูกเลือกเป็นเส้นทางที่ใช้แล้วใช้อีกเพราะเส้นทางที่วิบาก ท้าทายความสามารถของเหล่านักปั่น ประกอบกับทัศนียภาพอันงดงาม สิ่งที่ทำให้การแข่งปั่นจักรยานนี้ดีคือง่ายสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าร่วมเพียงแค่ทำการซื้อตั๋วไปยังประเทศฝรั่งเศส

เทือกเขาแอลป์ เดอ อูวซ์ (Alpe d'Huez)


นับเป็นเทือกเขาที่ได้รับความนิยมในการปีนมากที่สุดในโลกสำหรับบรรดาเหล่านักปั่น ระยะทางในการปีนคืน 3.8 กิโลเมตรโดยเฉลี่ยจากร้อยละ 7.9% และมีโค้งหักศอกรวมกันถึง 21 โค้ง ซึ่งบรรดาแฟนคลับนักปั่นทั้งหลายมักจะวาดรูปนักปั่นที่เขาชื่นชอบไปตามเส้นทางท้องถนน และ Marco Pantini คือนักปั่นที่ทำสถิติได้เร็วที่สุดในการปั่นขึ้นภูเขานี้


ยอดเขาเวนเตอร์ (Mont Ventoux)


สิ่งที่ทำให้ภูเขานี้ปีนยากไม่ใช่เพราะความสูงที่มีถึง 1,617 เมตร และระยะทางที่มากกว่า 21.8 กิโลเมตร หรือทางลาดชันที่มีถึง 7.43% แต่กลับเป็นเรื่องของแรงลมที่มีถึง 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงบนยอดเขา



เหล่าวีรบุรุษ และตัวโกง


ในสังคมของนักปั่นนั้นมีทั้งวีรบุรุษรวมไปถึงเหล่านักโกง หนึ่งในบุคคลที่สะดุดตามากที่สุดคือ Lance Armstrong ผู้ที่ชนะถึง 7 ครั้งติดต่อกันแบบไร้ซึ่งศักศรีเพราะเขาออกมายอมรับว่าเขาใช้สารเสพติดกระตุ้นระหว่างการแข่งขัน ขณะที่วีรบุรุษในใจของฉันคือ Tyler Hamilton ผู้ที่ปั่นในการแข่งด้วยสภาพกระดูกคอที่หัก Eddy Merckx ผู้เข้าแข่งขันในปี 1970 ที่ชนะในด่านต่าง ๆ มากที่สุดในขณะที่อายุ 34 ปี และวีรบุรุษในปัจจุบันของฉันคือ Mark Cavendish


Alfa Romeo

อัลฟาโรเมโอ (Alfa Romeo) ในนามบริษัท Alfa Romeo Automobiles S.p.A. บางครั้งก็นิยมเรียกชื่อสั้นๆเข้าใจง่ายว่า "อัลฟา" เป็นผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอิตาลี แห่งเมืองมิลาน ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1910 สร้างชื่อเสียงมาจากการผลิตรถสปอร์ตราคาแพง และการแข่งขันกีฬามอเตอร์สปอร์ต ปัจจุบันอยู่ภายใต้การครอบครองของ FCA Italy S.p.A. ในเครือบริษัท Fiat Chrysler Automobiles, NV

ประวัติ Alfa Romeo
แต่เดิมบริษัทเริ่มก่อตั้งในนามของ Societa Anonima Italiana Darracq (SAID) เมื่อปี ค.ศ. 1906 โดยบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชาวฝรั่งเศส Alexandre Darracq และผู้ลงทุนชาวอิตาลีส่วนนึง จากนั้นปลายปี ค.ศ. 1909 ยอดขายรถของบริษัทได้มีจำนวนลดลง จึงได้แยกตัวออกมาตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ที่มีชื่อว่า A.L.F.A หรือชื่อเต็มว่า Anonima Lombarda Fabbrica Automobili และยังคงเป็นหุ้นส่วนอยู่กับบริษัทเก่า Darracq จากนั้นได้ผลิตรถคันแรกออกมาคือรถ A.L.F.A 24 HP ในปี ค.ศ. 1910 ซึ่งออกแบบโดย Giuseppe Merosi หัวหน้าวิศวกรของบริษัท A.L.F.A มีจุดประสงค์เพื่อไว้ใช้ลงสนามแข่งในรายการ Targa Florio 1911

จากนั้นในปี ค.ศ. 1915 บริษัทได้อยู่ภายใต้การปกครองของผู้บริหารและวิศวกรคนใหม่ Nicola Romeo ผู้ที่เปลี่ยนแปลงบริษัทให้หันมาผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ของทหารอิตาลีและพันธมิตร ต่อมาเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Alfa Romeo และได้เปิดตัวรถรุ่น Torpedo 20-30 HP ซึ่งรถรุ่นนี้เป็นรุ่นแรกที่ได้ใช้ชื่อของ Alfa Romeo อย่างเป็นทางการ โดยพัฒนามาจากรถรุ่นที่แรกที่ผลิตในปี 1910 ซึ่งในช่วงนี้บริษัทมีกระแสตอบรับที่ดีมาก

จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1928 Nicola Romeo ตัดสินใจลาออกจาก Alfa Romeo เนื่องจากบริษัทประสบปัญหาทางการเงินจนไปต่อไม่ไหว จึงขายบริษัทให้กับรัฐบาลอิตาลี จากนั้นก็มีผลประกอบการที่ดีขึ้น และหันมาผลิตรถสำหรับเศรษฐีด้วยรถรุ่น Alfa Romeo 8C 2900 Type 35 ซึ่งทำให้ Alfa Romeo ประสบความสำเร็จที่สุดในยุคนั้น

 Henry Ford ได้เคยพูดคุยกับ Ugo Gobbato วิศวกรของ Alfa Romeo เมื่อปี ค.ศ. 1939 ไว้ว่า "เมื่อผมเห็น Alfa Romeo ขับผ่านไป ผมจะเปิดหมวกขึ้น" ซึ่งหากสวมหมวกอยู่การเปิดหมวกขึ้น หรือเอามือแตะหมวกเป็นธรรมเนียมของชาวตะวันตกเพื่อแสดงความเคารพและให้เกียรติ

ปี ค.ศ. 1952 Alfa Romeo ได้ทำการทดลองผลิตรถขับเคลื่อนล้อหน้ารุ่นแรกในโปรเจกต์ Project 13-61 ได้ถูกเรียกว่า Tipo 103 ซึ่งรูปแบบนี้มีลักษณะใกล้เคียงกับรถรุ่นยอดนิยม Alfa Romeo Giulia ในปัจจุบัน แต่ก็มีอันต้องปิดโปรเจกต์ เนื่องจากสภาวะปัญหาทางเศรษฐกิจในช่วงก่อนสงครามอิตาลี

จากนั้นในปี ค.ศ. 1954 เริ่มหันกลับมาผลิตรถเล็กและเครื่องยนต์ Twin Cam ซึ่งล้ำสมัยมากในยุคนั้น หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1986 ก็เริ่มใช้เครื่องยนต์แบบ Twin Spark ที่เป็นเอกลักษณ์จากการใช้หัวเทียนแบบสองหัวต่อหนึ่งสูบ ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1960-1970 นั้น Alfa Romeo ได้ผลิตรถในนามของบริษัท Finmeccanica ซึ่งเป็นเจ้าของโดยรัฐบาลอิตาลี ต่อมาได้ขายบริษัทต่อให้กับบริษัท Fiat Group ในปี ค.ศ. 1986 จากนั้น Fiat Group ได้สร้างกลุ่มบริษัทใหม่ขึ้นมา Alfa Lancia Industriale S.p.A เพื่อที่รถ Alfa Romeo และ Lancia ได้ทำการพัฒนาร่วมกัน และได้รวบรวมความเป็น Alfa Romeo ให้เป็นรถที่มีทั้งสไตล์ที่ดูโฉบเฉี่ยว และความเป็นรถสปอร์ตที่ทันสมัย ในสโลแกน "Cuore Sportivo" (Sporting Heart)

จากนั้นในปี ค.ศ. 2007 บริษัท Fiat Group S.p.A. (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น FCA Italy S.p.A.) ได้ก่อตั้งบริษัทใหม่อีก 4 บริษัท คือ Fiat Automobiles S.p.A., Alfa Romeo Automobiles S.p.A., Lancia Automobiles S.p.A. และ Fiat Light Commercial Vehicles S.p.A. (ปัจจุบันชื่อว่า Fiat Professional S.p.A.)

ตราสัญลักษณ์ Alfa Romeo
ตราสัญลักษณ์ของ Alfa Romeo ได้ถูกใช้อย่างต่อเนื่องถึง 5 ศตวรรษ ออกแบบโดย Romano Cattaneo ช่างศิลป์ชาวอิตาลี โดยใช้ตราประจำตระกูล Visconti ซึ่งเป็นตระกูลดั้งเดิมของเมืองมิลาน โดยทางขวาเป็นรูปของ Biscione ซึ่งเป็นชื่อที่ชาวอิตาลีเรียกงูตัวใหญ่ มีการอ้างอิงว่าตราสัญลักษณ์ที่เห็นนี้มาจากป้ายบนแขนเสื้อของชาวอาหรับที่ถูกบรรพบุรุษของตระกูล Ottone Visconti ปลิดชีวิตในระหว่างสงครามครูเซด หรืออาจจะเป็นชายคนนึงที่ถูกกลืนกินโดยงูยักษ์แต่ได้ถูกช่วยเหลือตามตำนานของ Theoderic the Great ซึ่งปรากฏอยู่ในกวี Virginal ส่วนทางซ้ายมือเป็นรูปกางเขนสีแดงบนพื้นขาวเป็นตราสัญลักษณ์ประจำเมืองมิลาน

 ส่วนตราสัญลักษณ์ Quadrifoglio Verde (ใบโคลเวอร์สี่กลีบ สีเขียว) เกิดจาก Ugo Sivocci นักแข่งรถของทีม ชนะการแข่งขัน 1923 Targa Florio กับรถแข่ง Alfa Romeo RL โดยที่เขาเพ้นท์รูปใบโคลเวอร์ 4 กลีบ เอาไว้ที่หัวของตัวรถ ตามความเชื่อของทางฝั่งตะวันตกที่มีความเชื่อว่า หากใครพบโคลเวอร์ 4 กลีบ จะประสบโชคดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะโดยปกติแล้วใบของต้นโคลเวอร์ทั่วไปจะมีเพียงแค่ 3 กลีบ ซึ่งว่ากันว่า ในต้นโคลเวอร์หนึ่งพันต้นนั้น จะพบใบโคลเวอร์ 4 กลีบได้เพียงใบเดียวเท่านั้น โอกาสพบใบโคลเวอร์ 4 กลีบจึงเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากมาก และยังถือเป็นเครื่องรางชนิดหนึ่งเลยทีเดียว จนต่อจากนั้นเกิดเป็นตราสัญลักษณ์นำโชค และนำมาใช้กับรถแข่งของ Alfa Romeo

กีฬามอเตอร์สปอร์ต


Alfa Romeo 8C-35 Scuderia Ferrari (1935)

ทางด้านวงการรถแข่ง Alfa Romeo มีชื่อเสียงโดยประสบความสำเร็จในการแข่งขันในมากมายหลายๆด้านในวงการ รวมถึง Grand Prix motor racing, Formula One, Sports car racing และ Rally Racing โดยเริ่มต้นประเดิมสนามในปี ค.ศ. 1911 ในนาม A.L.F.A. หลังจากที่ก่อตั้งบริษัทได้เพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น และเริ่มประสบความสำเร็จภายในสองปีต่อจากนั้น ซึ่งต่อมาได้มีทีมแข่งรถที่ Enzo Ferrari ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1929 หลังจากสมัยที่เขาทำงาน และเป็นนักแข่งรถให้กับ Alfa Romeo นั่นคือทีมที่มีชื่อว่า Scuderia Ferrari (ทีมแข่งของรถ Ferrari ในปัจจุบัน) โดยในยุคแรกๆของทีมนั้นก่อตั้งเพื่อเป็นทีมแข่งโดยใช้รถ Alfa Romeo โดยเฉพาะ โดยในยุคต่อมาหลังจากที่ Enzo Ferrari ทำรถยนต์เป็นของตนเอง Alfa Romeo ก็มีทีมงานสำหรับการแข่งขันโดยเฉพาะใช้ชื่อว่า Alfa Corse และ Auto-Delta ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1929 และ ค.ศ. 1961 ตามลำดับ ต่อมาหลังจากนั้นสามารถคว้าชัย World championship for Grand Prix ในปี ค.ศ. 1925 แชมป์รายการ World Championships 5 สมัย แชมป์ 24 Hours Le Mans 4 สมัย และรายการอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่ง Alfa Romeo ได้สร้างชื่อเสียงที่ดีในวงการมอเตอร์สปอร์ตมาตลอด อาจกล่าวได้ว่าไม่มีการแข่งรถประเภทใดในทวีปยุโรปที่ Alfa Romeo ลงแข่งขันแล้วไม่เคยชนะ

รายการแข่งขันสำคัญที่ได้รับชัยชนะ

5 World Championships (1925, 1950, 1951, 1975, 1977)
11 Mille Miglia (1928,1929,1930,1932,1933,1934,1935,1936,1937,1938)
10 Targa Florio (1923,1930,1931,1932,1933,1934,1935,1950,1971,1975)
4 24 Hours of Le Mans (1931, 1932, 1933, 1934)
17 European Touring Car Championships
9 Makes Championship
4 Drivers' Championships
10 Italian F3 Championships
10 European F3 Championships
5 European F3 Cups
8 French F3 Championships
3 German F3 Championships
1 Giro d'Italia (1988)
2 Trans-Am championship (1966, 1970)
1 Deutsche Tourenwagen Meisterschaft (DTM) (1993)
2 British Touring Car Championship (BTCC) (1983, 1994)
5 Spanish Touring Car Championship (1988, 1991, 1994, 1995, 1997)
2 French Touring Car Championship (1983, 1984)
6 Italian Superturismo Championship (1988, 1992, 1998, 1999, 2003, 2004)
7 European Historical Gran Turismo Championships
4 European Classic Touring Car Championships
3 Bathurst Unique Fuel Championships


Alfa Romeo RL Targa Florio 1923



Alfa Romeo 179 Formula One car (1980)

ประเภทสปอร์ตคาร์ส

  

Alfa Romeo Tipo 33/2 ระหว่างการแข่งขัน 1000-km race ที่ Nürburgring 1967


Nanni Galli ซ้อมกับ 33/3 ที่ Nürburgring 1971.


Andrea de Adamich กับ Alfa Romeo 33TT12 ใน 1974 Nürburgring


ประเภททัวร์วิ่งคาร์ส


Kwech/Andrey ใน 1966 Trans-Am Championship GTA


Alfa Romeo GTV6 ที่สนาม Hockenheimring ปี 1984


Alfa Romeo 155 V6 Ti DTM ที่ชนะการแข่งขันในฤดูกาล 1993 ของ Nicola Larini ทีม Alfa Corse ในงาน Goodwood Festival Of Speed 2010


Alfa Romeo 155 V6 TI DTM รุ่นปี 1996


James Thompson ขับ Alfa Romeo 156 WTCC ปี 2007


การปรากฎออกทางสื่อต่างๆ

ภาพยนตร์
- Octopussy - James Bond ในยุคของ Roger Moore ได้ขโมยรถ Alfa Romeo GTV6 และขับหลบหนีรถตำรวจ
- The Marseille Contract - John Deray รับบทโดย Michael Caine ขับรถ Alfa Romeo Montreal ในหุบเขาในพรอว็องส์ของฝรั่งเศส แข่งกับ Porsche 911 Targa ของหญิงสาวคนหนึ่ง
- The Graduate - Dustin Hoffman ซึ่งรับบท Ben Braddock ซิ่งรถ Alfa Romeo Spider "Duetto" ในภาพยนตร์เรื่องนี้
- The Godfather - Michael Corleone รับบทโดย Al Pacino ขับรถ Alfa Romeo 6C สีดำ ระหว่างการถูกเนรเทศ ในซิซิลี แคว้นปกครองตนเองของประเทศอิตาลี
- S1m0ne - ภาพยนตร์ในปี ค.ศ. 2002 Viktor Taransky รับบทโดย Al Pacino ให้ Alfa Romeo 2600 Touring -Spider กับลูกสาวเป็นของขวัญในวันเครบรอบวันเกิดอายุ 16 ปีของเธอ
- Ripley's Game - John Malkovich ในบท Tom Ripley ใช้รถ Alfa Romeo 156 Sportwagon สีแดงในภาพยนตร์เรื่องนี้
- Quantum of Solace - Alfa Romeo 159 Ti สีดำ 3 คัน ปรากฏในฉากเปิดเรื่องของภาพยนตร์ โดยเป็นฝ่ายไล่ล่ารถ Aston Martin DBS ของ James Bond ที่รับบทโดย Daniel Craig
- Fast & Furious 6 - Alfa Romeo Giulietta Quadrifoglio Verde ถูกใช้เป็นรถคันหนึ่งที่ได้รับบทที่โดดเด่นในภาพยนตร์ ซึ่งขับโดย Brian O'Conner และ Mia Toretto รับบทโดย Paul Walker และ Jordana Brewster
- Trance - Alfa Romeo 156 ถูกใช้เป็นรถเด่นในภาพยนตร์ โดยมีชื่อเล่นว่า the red car (รถสีแดง)
- Welcome to the Punch - James McAvoy นักแสดงนำใช้รถ Alfa Romeo 159 สีดำในภาพยนตร์

โทรทัศน์
       Jeremy Clarkson พิธีกรชื่อดัง จากรายการ Top Gear ทางช่อง BBC 2 ได้กล่าวกับรถ Alfa Romeo เอาไว้ว่า "Nobody can call themselves a true petrolhead until they have owned one" (ไม่มีใครสามารถเรียกตัวเองได้ว่าเป็นคนบ้ารถได้อย่างแท้จริง จนกว่าพวกเขาจะได้เป็นเจ้าของมัน) และในเทปที่ทำการทดสอบ Alfa Romeo 8C Competizione ยังกล่าวเอาไว้อีกว่า "If I can liken the whole global car industry to the human body, Toyota is the brain, Aston Martin is the face, Cadillac is the stomach and Alfa Romeo... is the heart and soul" (ถ้าผมสามารถเปรียบอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกเสมือนกับร่างกายมนุษย์, โตโยต้าคือมันสมอง, แอสตัน มาร์ติน คือใบหน้า, คาดิลแลคคือกระเพาะอาหาร และอัลฟ่า โรมิโอ... คือหัวใจและจิตวิญญาณ) ซึ่งสอดคล้องกับคาแรคเตอร์ของรถ โดย Alfa Romeo มีสโลแกนในปัจจุบัน คือ Without Heart We Would Be Mere Machines เปรียบได้ว่า ถ้าเราไม่มีหัวใจ เราก็คงเป็นได้เพียงแค่เครื่องจักรกลธรรมดาเท่านั้น

วรรณกรรม
      นวนิยายของ Dan Brown เรื่อง Angels & Demons ในการตีพิมพ์ครั้งแรกนั้น โดยสวิสการ์ดทั้งหมดใช้รถซีดานยื่ห้อ อัลฟ่า โรมิโอ (ในนวนิยายนั้นเรียกว่า  Alpha Romeos ตลอดทั้งเล่ม)

รถยนต์

รุ่นปัจจุบัน


                                     MiTo


                             Giulietta (2010)


                                     4C

Alfa Romeo MiTo
MiTo เป็นรถ สปอร์ตซุปเปอร์มินิ ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 2008 ที่ Castello Sforzesco ในเมืองมิลาน และเปิดตัวต่อสาธารณชนในงาน British Motor Show ในปี ค.ศ. 2008

Alfa Romeo Giulietta (2010)
Giulietta เป็นรถ สปอร์ตแฮทช์แบค 5 ประตู เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Geneva Motor Show ในปี ค.ศ. 2010 โดยมาแทนรุ่น 147

Alfa Romeo 4C
4C เป็นรถ สปอร์ต 2 ประตู 2 ที่นั่ง เครื่องยนต์วางกลาง ขับเคลื่อนล้อหลัง ที่มีขนาดเล็ก และน้ำหนักเบา โดยมีขนาดใกล้เคียงกับ MiTo โดยเริ่มแรกได้เปิดโชว์เป็นรถต้นแบบในงาน Geneva Motor Show ครั้งที่ 81 ในปี ค.ศ. 2011 และหลังจากนั้นก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Geneva Motor Show ครั้งที่ 83 ในปี ค.ศ. 2013 และเปิดตัวอย่างเป็นทางการสำหรับการกลับมาทำตลาดในสหรัฐอเมริกาของ Alfa Romeo ในปี 2014
                                        

สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย



แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมโบราณสถาน และประวัติศาสตร์

อันดับ 1 วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ วัดพระแก้ว กรุงเทพมหานคร
พระอารามหลวงในบริเวณพระบรมมหาราชวังแห่งนี้  เป็นหนึ่งในบรรดาแหล่งท่องเที่ยวแห่งแรกๆ ของประเทศ ที่เปิดเผยออกสู่สายตาของชาวโลกเมื่อแรกเริ่มมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวขึ้นในประเทศไทยเมื่อ 50 ปีก่อน นอกจากความสำคัญในฐานะเป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระแก้วมรกต สถาปัตยกรรมหลายยุคหลายสมัยที่สร้างเสริมสืบต่อกันมาและการตกแต่งประดับประดาอันอลังการ ก็เป็นเอกลักษณ์ที่ดึงดูดใจ โดยเฉพาะจิตรกรรมฝาผนังรอบพระระเบียงคด เรื่องรามเกียรติ์อันวิจิตรตระการตาและมีความยาวที่สุดในโลก


อันดับ 2 วัดพระธาตุดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่
ปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองบนยอดดอยสูง สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุตั้งแต่ พ.ศ. 1916 ในสมัยพญากือนาแห่งอาณาจักรล้านนา ความสง่างามขององค์พระธาตุเจดีย์เหลี่ยมประดับด้วยแผ่นทองอร่ามตา รวมทั้งการตกแต่งประดับประดาด้วยศิลปกรรมล้านนาอันงดงาม ท่ามกลางม่านหมอกของผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์เหนือเทือกดอยสูง รวมทั้งสภาพอากาศอันเย็นสบาย ผสมผสานกันเป็นบรรยากาศอันขรึมขลังที่แตกต่างจากสถานที่อื่น ๆ อย่างเป็นเอกลักษณ์ สร้างความประทับใจกับผู้มาเยือนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง จึงไม่น่าแปลกใจที่จะได้รับคะแนนนิยมอย่างล้นหลามตามอันดับ 1 มาติด ๆ


อันดับ 3 อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
อดีตราชธานีที่มีอายุยาวนานที่สุดของสยามประเทศ คือ 417 ปี ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2534 ร่องรอยสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่และงดงามที่หลงเหลือกระจัดกระจายอยู่สะท้อนให้เห็นถึงความรุ่งเรืองสืบเนื่องมาหลายยุคหลายสมัย แม้ในระยะหลังจะมีปัญหาความเสื่อมโทรมและการรุกล้ำพื้นที่ จนมีข่าวลือหนาหูว่าจะถูกเพิกถอนจากบัญชีมรดกโลก แต่ท้ายที่สุดก็ได้รับการปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหาจนคลี่คลายไปได้ด้วยดี ด้วยระยะทางที่อยู่ใกล้กับกรุงเทพฯ ไม่ไกลเกินนักท่องเที่ยวทั่ว ๆ ไปจะสัมผัสได้ ทำให้ได้รับคะแนนนิยมมาเป็นอันดับ 3


อันดับ 4 วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร
องค์พระปรางค์สูงตระหง่านเสียดฟ้าริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดด้านงานสถาปัตยกรรมชั้นเยี่ยมแห่งหนึ่งของยุครัตนโกสินทร์ ด้วยความสูงทั้งสิ้น 33 วาเศษ จึงถือว่าเป็นพระปรางค์ที่สูงใหญ่ที่สุดในโลกด้วย สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 รอบองค์ปรางค์วิจิตรอลังการด้วย การตกแต่งประดับประดาด้วยถ้วยชามกระเบื้องเคลือบสีต่าง ๆ เป็นเอกลักษณ์อันเป็นที่รู้จักดีอย่างหนึ่งของประเทศไทยในสายตาชาวต่างประเทศ จึงถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของตราสัญลักษณ์ขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (อ.ส.ท.) ซึ่งกลายมาเป็นการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในทุกวันนี้


อันดับ 5 อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย
เมืองโบราณที่มีร่องรอยของการตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ยุคชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ พัฒนาการขึ้นมาตามลำดับ จนกระทั่งเป็นแว่นแคว้นที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางศิลปวัฒนธรรมระดับสูง ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2534 โดดเด่นด้วยโบราณสถานขนาดใหญ่จำนวนมากมายที่สร้างด้วยศิลาแลง ทั้งในส่วนของเมืองเชลียง อันเป็นเมืองในยุคเริ่มแรก และในส่วนของเมืองศรีสัชนาลัยซึ่งเป็นส่วนต่อขยายที่เจริญขึ้นในยุคต่อมา โบราณสถานเหล่านี้ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติเทือกทิวเขาและแมกไม้อันร่มรื่นปราศจากการรบกวนจากความเจริญสมัยใหม่ จัดว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่มีบรรยากาศงดงามสมบูรณ์มากที่สุดของประเทศไทย


อันดับ 6 อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จังหวัดสุโขทัย
เมืองโบราณที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเมืองศรีสัชนาลัยอย่างใกล้ชิด ในด้านประวัติความเป็นมาขึ้นทะเบียนมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2534 ในนามเมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวารร่วมกับเมืองศรีสัชนาลัยและเมืองกำแพงเพชร เป็นแหล่งศิลปวัฒนธรรมอันงดงามอ่อนช้อยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นแหล่งกำเนิดศิลปวัฒนธรรมสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษรไทย การวางผังเมืองอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในด้านศิลปกรรม พุทธประติมากรรมของสุโขทัยได้รับกรยอมรับกันว่าเป็นสุดยอดทางความงามของศิลปะไทย เมืองเก่าสุโขทัยมีโบราณสถานขนาดใหญ่ตระการตาหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะพระพุทธรูปขนาดมหึมา แต่ในเรื่องของบรรยากาศความเป็นธรรมชาติอาจเป็นรองศรีสัชนาลัยอยู่เล็กน้อย เนื่องจากอยู่ใกล้กับเมือง


อันดับ 7 พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม
ตามตำนานกล่าวว่าองค์พระธาตุเดิมสร้างมานานไม่น้อยกว่า 2,300 ปี โดยพระมหากัสสปะพร้อมพระอรหันต์ 500 องค์ ได้นำพระอุรังคธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบรรจุไว้ พระธาตุพนมเคยล้มทลายลงทั้งองค์ใน พ.ศ. 2518 เนื่องจากความเก่าแก่และถูกพายุฝนกระหน่ำต่อเนื่องกันหลายวัน ชาวไทยทั้งประเทศได้ร่วมกันบริจาคทุนทรัพย์บูรณปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุขึ้นใหม่ตามแบบเดิม แล้วเสร็จใน พ.ศ. 2522 ในวันนี้พระธาตุพนมจึงยังคงตระหง่านงามอยู่เป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือรวมไปถึงทางฝั่งลาวด้วย ในวันเพ็ญเดือน 3 ของทุกปี จะมีพุทธศาสนิกชนหลั่งไหลมาร่วมงานสมโภชพระธาตุพรมจากทั่วทุกสารทิศ


อันดับ 8 พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม
ปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองนครปฐม พระเจดีย์องค์เดิมมีลักษณะทรงโอคว่ำ หรือทรงมะนาวผ่าซีก แบบเดียวกับพระสถูปสาญจี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า เจดีย์ใหญ่องค์นี้อาจเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นแต่ครั้งพระสมณทูตของพระเจ้าอโศกมหาราชเดินทางมาเผยแผ่พระพุทธศาสนายังสุวรรณภูมิเป็นครั้งแรก จึงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นและพระราชทานนามใหม่ว่า "พระปฐมเจดีย์" อันมีความหมายว่าเจดีย์แห่งแรก ปัจจุบันยังคงมีพุทธศาสนิกชนเดินทางมาสักการะเป็นจำนวนมากทุกปี ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระปฐมเจดีย์ ยังเป็นแหล่งรวบรวมศิลปกรรมชิ้นเยี่ยมสมัยทวารวดีเอาไว้มากที่สุดด้วย


                                       

อันดับ 9 อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย จังหวัดนครราชสีมา
เมืองโบราณในแบบแผนของสถาปัตยกรรมขอม ชื่อ "พิมาย" มาจากคำว่า "วิมาย" หรือ "วิมายปุระ" ที่ปรากฏในจารึกภาษาขอมบนแผ่นหินตรงกรอบประตูระเบียงคดด้านหน้าของปราสาท  จุดเด่นของเมืองคือปราสาทหินพิมาย ปราสาทหินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จากหลักฐานศิลาจารึกและรูปแบบทางศิลปะสร้างบ่งบอกว่า สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ราวพุทธศตวรรษที่ 16 ในฐานะเทวสถานของศาสนาพราหมณ์รูปแบบของศิลปะเป็นแบบบาปวนผสมผสานกับศิลปะแบบนครวัด ซึ่งปราสาทนี้ได้ถูกดัดแปลงมาเป็นสถานที่ทางศาสนาพุทธในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย ยังเป็นแหล่งรวบรวมโบราณวัตถุศิลปะขอมเอาไว้จำนวนมากและน่าสนใจที่สุดของประเทศไทยอีกด้วย


อันดับ 10 อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี จังหวัดเพชรบุรี
พระนครคีรี หรือเขาวัง เป็นพระราชวังแห่งเดียวของประเทศไทยที่ตั้งอยู่บนยอดเขา ซึ่งแต่เดิมมีชื่อเรียกว่า "เขาสมณะ" เนื่องจากมีวัดสมณะอารามเก่าตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาอยู่บนไหล่เขาด้านตะวันออก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ครั้งยังผนวชอยู่เคยเด็จมาปฏิบัติภาวนาบนยอดเขา หลังเสด็จขึ้นครองราชย์จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังขึ้น โดยยอดเขาทางทิศตะวันตกเป็นที่ประทับและเรือนบริวารยอดกลางเป็นที่ตั้งของพระธาตุจอมเพชร บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และบนยอดเขาด้านตะวันออกเป็นที่ตั้งของวัดพระแก้ว อารามประจำพระราชวังพระนครคีรี พระราชทานนามว่า "พระราชวังพระนครคีรี" โดดเด่นด้วยความงดงามของสัดส่วนที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างสถาปัตยกรรมกับสภาพภูมิประเทศ



แหล่งท่องเที่ยวประเภทป่าเขา น้ำตก

อันดับ 1 อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่
สุดยอดเหนือใครในสยามประเทศด้านความสูงด้วยดอยอินทนนท์ ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย 2,565 เมตร จากระดับทะเลปานกลางท่ามกลางเทือกเขาสลับซับซ้อน อากาศหนาวเย็นตลอดปี แวดล้อมด้วยสภาพป่าแบบดึกดำบรรพ์ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพรรณไม้หลากหลายชนิด และนกสวยงามนานาพันธุ์ ด้วยเป็นป่าต้นน้ำ จึงมีน้ำตกสวยงามขนาดใหญ่หลายแห่ง เช่น น้ำตกแม่ยะ น้ำตกสิริภูมิ น้ำตกแม่กลาง ฯลฯ ทั้งยังเป็นที่ตั้งของพระมหาธาตุนภเมทนีดลและพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ ซึ่งกองทัพอากาศสร้างถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบอีกด้วย


อันดับ 2 อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จังหวัดเลย
อุทยานแห่งชาติลำดับที่ 2 ของประเทศไทยต่อจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เหนือที่ราบกว้างใหญ่บนยอดภูสูง 1,200 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง งามตาด้วยทิวสนเรียงราย นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ชื่นชอบภูกระดึงเพราะความหลากหลายในด้านการท่องเที่ยวเนื่องจากมีหน้ามาจุดชมทิวทัศน์มากมายหลายจุด ที่โด่งดังเป็นที่รู้จักคือจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นและจุดชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก ทั้งยังมีน้ำตกขนาดกลางและขนาดเล็กที่สวยงาม เช่น น้ำตกถ้ำใหญ่ น้ำตกวังกวาง น้ำตกธารสวรรค์ ฯลฯ อีกทั้งสภาพป่าที่มีทั้งป่าสนเขา ป่าดินเขา ป่าเต็งรัง และป่าเบญจพรรณ ทำให้มีพรรณไม้แปลก ๆ สวยงาม ในยามดอกไม้ ป่าสะพรั่งบานเปรียบเสมือนกับอุทยานบนสรวงสวรรค์
    


อันดับ 3 อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา นครนายก ปราจีนบุรี และสระบุรี
อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2505 ได้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2548 โดยขึ้นทะเบียนร่วมกับป่า 5 ผืนใหญ่ คือ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อุทยานแห่งชาติปางสีดา อุทยานแห่งชาติตาพระยา อุทยานแห่งชาติทับลาน และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ ถือว่าเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งที่ 2 ของไทย ต่อจากผืนป่าทุ่งใหญ่นเรศวร-ห้วยขาแข้ง เขาใหญ่เป็นแหล่งที่สามารถพบเห็นสัตว์ป่าน้อยใหญ่ นานาชนิด ทั้งยังมีน้ำตกใหญ่ที่สวยงาม เช่น น้ำตกเหวนรก น้ำตกเหวสุวัต น้ำตกผากล้วยไม้ และน้ำตกอื่น ๆ อีกมากมายกว่า 20 แห่ง รวมทั้งยังมีเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติอีก 13 เส้นทาง จึงเป็นขวัญใจของบรรดานักท่องเที่ยวผู้ชื่นชอบสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดมาตลอดทุกยุคทุกสมัย


อันดับ 4 สถานีเกษตรหลวงดอยอ่างขาง จังหวัดเชียงใหม่
สถานีวิจัยแหงแรกของโครงการหลวง จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2512 ตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงต้องการเปลี่ยนพื้นที่จากไร่ฝิ่นของชาวไทยภูเขามาเป็นแปลงเกษตรเมืองหนาวที่สามารถสร้างรายได้ วันนี้ดอยอ่างขางได้เปลี่ยนสภาพจากภูเขาซึ่งถูกตัดไม้ทำลายป่ามาเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ สภาพอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี มีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจให้เที่ยวชมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไม้ดอกเมืองหนาวกว่า 20 ชนิด พันธุ์ไม้ผลกว่า 12 ชนิด และแปลงผักเมืองหนาวอีกกว่า 60 ชนิด รวมทั้งหมู่บ้านชาวไทยภูเขาหลายเผ่า คือ จีนฮ่อ ไทยใหญ่ มูเซอดำ และปะหล่อง ทิวทัศน์ชายแดนไทย-พม่า อีกทั้งยังเป็นแหล่งดูนกสำคัญที่มีนกน่าสนใจหลายชนิด

           
อันดับ 5 อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน
เป็นผืนป่าต้นน้ำสำธารที่โดดเด่นด้วยป่าและธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และทิวเทือกเขาสูงชันสลับซับซ้อน มีจุดชมทิวทัศน์ที่ชื่อเสียงโด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย คือ จุดชมวิวห้วย น้ำดัง อันเป็นสถานที่ซึ่งสามารถชมทะเลหมอกยามเช้าได้อย่างชัดเจนงดงาม ท่ามกลางแสงสีทองของอรุณรุ่ง แต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวนับพันมาพักแรมเพื่อรอชม นอกจากนี้ ยังมียอดดอยที่มีธรรมชาติงดงามอีกหลายแห่ง เช่น ดอยช้าง ดอยสามหมื่น รวมทั้งโป่งเดือดซึ่งเป็นน้ำพุร้อนธรรมชาติทางอุทยานฯ ได้จัดสร้างบ้านพักพร้อมบ่อสำหรับอาบน้ำแร่แช่น้ำร้อนครบวงจรพร้อมบริการ

           
อันดับ 6 อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย จังหวัดเชียงใหม่
เหนือภูเขาสูงสลับซับซ้อนหลายลูก อันได้แก่ ดอยสุเทพ ดอยบวกห้า  และดอยปุย เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำลำธารลำห้วย  เช่น ห้วยแก้ว ห้วยช่างเคี่ยน ห้วยแม่ปาน ที่ไหลลงสู่แม่น้ำปิง และน้ำตกงามอีกหลายแห่ง ได้แก่ น้ำตกมณฑาธาร น้ำตกแม่สา เป็นน้ำตกที่สวยงามมาก น้ำตกตาดหมอก-วังฮาง น้ำตกตาดหมอกฟ้า น้ำตกมหิดล น้ำตกศรีสังวาลย์ น้ำตกผาลาด และน้ำตกห้วยแก้ว ยังมีหน้าผาอันเป็นจุดชมทิวทัศน์หลายแห่ง โดยเฉพาะยอดดอยปุยซึ่งเป็นป่าสนเขา มองเห็นทัศนียภาพได้โดยรอบ ทั้งยังสามารถเยี่ยมเยือนหมู่บ้านชาวไทยภูเขาเผ่าต่าง ๆ เช่น ม้ง เย้า อาข่า ลีซอ มูเซอ ได้สะดวก เพราะมีทางเดินไปถึงทุกหมู่บ้าน บนเส้นทางขึ้นสู่อุทยานฯ ยังมีจุดแวะน่าสนใจอย่างอนุสาวรีย์ครูบาศริวิชัย และพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ซึ่งประดับประดาด้วยดอกไม้นานาพรรณงดงามตระการตา


อันดับ 7 อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี
อุทยานฯ ที่มีพื้นที่มากที่สุดของประเทศไทย คือ 2,915 ตารางกิโลเมตร เป็นป่าดิบขึ้น ภูเขาสลับซับซ้อนอยู่ในเทือกเขาตะนาวศรี สภาพภูมิประเทศอุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่ามาก จึงมีชื่อเสียงในด้านการเป็นแหล่งดูนกที่มีนกให้ดูมากที่สุดแห่งหนึ่ง คือ 430 ชนิด จาก 900 กว่าชนิดที่มีในประเทศไทย ทั้งยังเป็นแหล่งดูผีเสื้อแห่งสำคัญ เพราะมีมากกว่า 150 ชนิด โดยมีจุดพักค้างแรมกางเต็นท์สำหรับผู้สนใจดูนกและผีเสื้อที่บ้านกร่างแคมป์ ในขณะเดียวกันยังมีจุดชมทะเลหมอกในตอนเช้าได้สวยงาม คือที่แคมป์พะเนินทุ่ง หรือ กม.30 อันเป็นจุดกางเต็นท์พักแรมของอุทยานฯ

           
อันดับ 8 อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จังหวัดเพชรบูรณ์
แหล่งธรรมชาติที่มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์สอดแทรกอยู่ แหล่งท่องเที่ยวจึงแบ่งออกเป็นด้านประวัติศาสตร์ ได้แก่ สถานที่ต่าง ๆ ที่อดีตพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเคยใช้เป็นฐานที่มั่น ซึ่งสถานที่เหล่านี้ได้รับการดูแลรักษาให้คงอยู่ในสภาพเดิม เช่น ผาชูธง โรงเรียนการเมือง การทหาร ในขณะที่ด้านธรรมชาติ ภูหินร่องกล้าก็ยังมีสภาพภูมิทัศน์สวยงามแปลกตา ผิดจากเทือกเขาโดยทั่วไป ได้แก่ ลานหินแตก ลานหิน ปุ่ม ซึ่งเกิดจากการโก่งตัวหรือเคลื่อนตัวของผิวโลก การสึกกร่อนตามธรรมชาติของหิน ปกคุลมไปด้วยมอส ไลเคน ตะไคร่ เฟิร์น และกล้วยไม้ ชนิดต่าง ๆ ทั้งยังอุดมด้วยน้ำตกสวยอีกหลายแห่ง เช่น น้ำตกหมันแดง น้ำตกร่มเกล้าภราดร น้ำตกศรีพัชรินทร์ น้ำตกแก่งลาด และน้ำตกตาดฟ้า

           
อันดับ 9 อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน จังหวัดลำปาง
ผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์และเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร โดดเด่นในความเป็นอุทยานแห่งชาติที่เน้นการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ ด้วยมีแอ่งอาบน้ำอุ่นที่เกิดจากน้ำร้อนในบ่อน้ำพุร้อนมาบรรจบกับน้ำเย็นที่มาจากน้ำตกแจ้ซ้อน ดำเนินงานตามแนวพระราชดำริในการใช้พลังงานน้ำธรรมชาติมาประยุกต์ อุทยานฯ ใช้ไฟฟ้าที่ผลิตเองจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกแจ้ซ้อน ที่บนเส้นทางพบสัตว์หายากอย่างนกเขนเทาหางแดง ปลาปุง รวมทั้งพรรณไม้ต่าง ๆ สามารถศึกษาระบบนิเวศและสภาพภูมิศาสตร์โดยรอบลานน้ำพุร้อน และเส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกแม่เปียก ศึกษาความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศและการนำทรัพยากรจากป่ามาใช้ประโยชน์


อันดับ 10 อุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปก จังหวัดเชียงใหม่
ดอยฟ้าห่มปก ดอยสูงอันดับ 2 ของประเทศไทย ด้วยความสูง ประมาณ 2,285  เมตร จากระดับทะเลปานกลาง  บนยอดดอยสูงสุดเป็นทุ่งโล่งอันเกิดจากสภาพธรณีวิทยาที่มีชั้นดินตื้น พื้นเป็นหินแกรนิตประกอบกับมีลมกระโชกแรงตลอดทั้งปี จากยอดดอยจะเห็นทิวทัศน์ทะเลหมอกและถนนบนสันเขาขนาดกับชายแดนไทย-พม่า จุดเด่นอีกอย่างของอุทยานฯ แห่งนี้คือ บ่อน้ำร้อนธรรมชาติที่เกิดจากความร้อนใต้ดิน มีจำนวนมากมายหลายบ่อ ในพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ ไอร้อนกรุ่นพวยพุ่งอยู่ตลอดเวลา อุณหภูมิของน้ำประมาณ 40 - 88 องศาเซสเซียส บ่อหนึ่งทางอุทยานฯ เจาะใส่ท่อให้น้ำพุร้อนพุ่งขึ้นสูงถึง 40 - 50 เมตร พร้อมทั้งได้จัดบริการห้องอาบน้ำแร่ และอบไอน้ำ บ่อน้ำร้อนจะอยู่ใกล้กับที่ทำการอุทยานฯ นอกจากนี้ ยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติขึ้นเขาผ่านป่าเบญจพรรณมาถึงบ่อน้ำร้อน ระยะทางประมาณ 1.2 กิโลเมตร อีกด้วย



แหล่งท่องเที่ยวทางทะเล เกาะ และหมู่เกาะ

อันดับ 1 หมู่เกาะสิมิลัน จังหวัดพังงา
คว้าความเป็นสุดยอดแหล่งท่องเที่ยวประเภทนี้ไปด้วยหาดทรายขาวละเอียดบริสุทธิ์ราวกับแป้งบนชายหาดของเกาะน้อยใหญ่ที่เรียงรายจากแนวเหนือไปใต้รวม 9 เกาะ อันเป็นที่มาของนาม "สิมิลัน" ซึ่งมีความหมายในภาษายาวีแปลว่า "เก้า" รวมทั้งผืนน้ำที่เป็นสีเขียวครามใส ใต้ผืนน้ำยังถือว่าเป็นสุดยอดของแหล่งดำน้ำ ทั้งดำน้ำตื้นแบบสนอร์เกิล และดำน้ำลึกแบบสกูบา เพราะอุดมด้วยปะการังแข็ง ปะการังอ่อน กัลปังหา และฝูงปลาน้อยใหญ่นานาชนิด บนเกาะแปดยังมีหินเรือใบ ประติมากรรมธรรมชาติในขณะที่เกาะสี่ยังคงสภาพป่าดิบอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งอาศัยของนกชาปีไหน ค้างคาวแม่ไก่ และปู่ไก่ ที่มีเสียงร้องคล้ายลูกไก่ และสัตว์ป่าอีกหลายชนิด


อันดับ 2 หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่
หมู่เกาะพีพีประกอบด้วยเกาะ 6 เกาะ คือ เกาะพีพีเล เกาะพีพีดอน เกาะยูง เกาะไม้ไผ่ เกาะบิดะนอก และเกาะบิดะใน ซึ่งแต่ละแห่งล้วนแล้วแต่มีทัศนียภาพน่าตื่นตาด้วยเทือกผาเขาหินปูนสูงใหญ่กับหาดทรายขาวสวย น้ำทะเลเขียวใส แต่ในขณะเดียวกันก็ยังเลื่องชื่อในฐานะดินแดนแห่งบุปผาใต้สมุทรจากกิจกรรมท่องโลกใต้ทะเล ดำน้ำดูปะการัง ดอกไม้ทะเลหลากสีสันสวยงาม และสรรพสัตว์น้อยใหญ่เป็นที่ดึงดูดนักดำน้ำจากทั่วโลกให้แวะเวียนมาเยือน


อันดับ 3 เกาะสมุย จังหวัดสุราษฏร์ธานี
แหล่งมะพร้าวพันธุ์ดีที่สุดของไทยในอดีต ทว่าในวันนี้นักท่องเที่ยวทั่วโลกรู้จักเกาะสมุยในฐานะ "สวรรค์กลางทะเลอ่าวไทย" ด้วยหาดทรายขาวสวยขนานไปกับท้องทะเลครามและทิวมะพร้าวเรียงรายงดงามบนชายหาดรอบเกาะ แต่ละหาดมีบรรยากาศแตกต่างกันไปให้เลือกเที่ยวบนเกาะพรั่งพร้อมไปด้วยที่พักหลากสไตล์ ร้านอาหารหลายรสชาติบริการนำเที่ยว สถานบันเทิง และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวที่สร้างความหลงใหลให้กับผู้มาเยือน


อันดับ 4 เกาะช้าง จังหวัดตราด
เกาะใหญ่อันดับสองของประเทศไทยรองจากเกาะภูเก็ต ทะเลแถบนี้คือสมรภูมิประวัติศาสตร์ยุทธนาวีทางทะเลอันลือลั่นระหว่างกองทัพเรือไทยกับกองเรือฝรั่งเศสผู้รุกราน ขณะเดียวกันก็เป็นเกาะสวรรค์แห่งทะเลตะวันออก ด้วยสภาพธรรมชาติป่าดิบเขาสมบูรณ์บนเกาะอันเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร ทำให้มีน้ำตกสวยงามมากมายหลายแห่ง หาดทรายทอดตัวเป็นแนวยาวต่อเนื่องกัน อีกทั้งมีแนวปะการังสวยงามที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกของเกาะ พรั่งพร้อมด้วยรีสอร์ตหลากสไตล์ ร้านอาหาร สถานบันเทิง และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน


อันดับ 5 เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง
เกาะเสม็ด งดงามจนหลายต่อหลายคนคิดว่าเป็นเกาะแก้วพิสดารในวรรณคดี ด้วยหาดทรายที่ขาวสะอาดเนื้อละเอียดนวลเนียนเหมือนกับเกาะที่อยู่กลางท้องทะเลลึก ทั้งที่อยู่ห่างจากชายฝั่งเพียง 6 กิโลเมตร เท่านั้น ผสมผสานกับทิวทัศน์ธรรมชาติรอบเกาะ ชายหาดกับเวิ้งอ่าวที่แหว่งเว้า และพืชพรรณนานาชนิดประดับประดาหลายแห่ง แหล่งปะการังสวยงามใกล้ชายฝั่ง เป็นอีกเกาะหนึ่งที่ครบถ้วนด้วยที่พัก ภัตตาคาร สถานบันเทิง และกิจกรรมท่องเที่ยวทางทะเล ในระยะทางที่ไม่ไกลจนเกินไป


 อันดับ 6 หมู่เกาะสุรินทร์ จังหวัดพังงา
5 เกาะงาม อันได้แก่ เกาะสุรินทร์เหนือ เกาะสุรินทร์ใต้ เกาะรี (สต็อร์ก หรือไฟแวบ) เกาะกลาง (ปาจุมบา หรือมังกร) และเกาะไข่ (ตอรินลา) โด่งดังเป็นที่รู้จักด้วยแหล่งดำน้ำตื้นแบบสนอร์เกิล ที่งดงามด้วยแนวปะการังแข็งอันอุดมไปด้วยสรรพชีวิต รวมทั้งแหล่งดำน้ำลึกที่มีอยู่รอบเกาะอีกหลายแห่ง คือ หินแพและหินกอง และทางทิศตะวันออกห่างจากเกาะประมาณ 14 กิโลเมตร มีกองหินริเชลิว ทั้งยังเป็นแหล่งอาศัยของชุมชนมอแกน หรือชาวเล ชนเผ่าเร่ร่อนแห่งทะเลอันดามันที่ได้รับสมญานามว่า "ยิปซีแห่งท้องทะเล"


อันดับ 7 หมู่เกาะลันตา จังหวัดกระบี่
เกาะน้อยใหญ่ 25 เกาะ กลางทะเลอันดามัน แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มเกาะลันตา กลุ่มเกาะไหง กลุ่มเกาะห้า (ตุกนลิมา) และกลุ่มเกาะรอก โดยเกาะรอกคือผืนดินสุดท้าย ทางทิศตะวันตกอันถือเป็นหลักเขตประเทศไทย อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ป่าชายหาด ป่าชายเลน แนวปะการังที่สมบูรณ์ รอบเกาะเต็มไปด้วยดอกไม้ทะเลและปลาการ์ตูน ทั้งยังเป็นแหล่งปูเสฉวนมากที่สุดในเมืองไทย แม้แต่ละเกาะจะสวยงามด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่สิ่งที่ทุกเกาะมีเหมือนกันคือทรายขาว เม็ดทรายละเอียดน้ำทะเลสวยใส และทิวทัศน์งดงามของชายหาด


อันดับ 8 หมู่เกาะตะรุเตา จังหวัดสตูล
แบ่งออกเป็นหมู่เกาะใหญ่ ๆ ได้ 2 หมู่เกาะ คือ หมู่เกาะตะรุเตาและหมู่เกาะอาดัง-ราวี โดยเกาะตะรุเตา นั้นถือว่าเป็นเกาะแห่งประวัติศาสตร์  เนื่องจากครั้งหนึ่งในอดีตเคยเป็น "คุกกลางทะเล" ที่ใช้กักกันนักโทษทางการเมือง ยังมีร่องรอยหลงเหลือปรากฏให้พบเห็นอยู่ทั่วไป แทบไม่น่าเชื่อว่าปัจจุบันเกาะตะรุเตาและบรรดาเกาะน้อยใหญ่ในบริเวณข้างเคียงเหล่านี้กลับกลายเป็น "สรวงสวรรค์กลางทะเล" ของนักเดินทาง ด้วยน้ำทะเลใสเขียวครามหาดทรายงาม ธารน้ำ และผืนป่าดงดิบอันอุดมสมบูรณ์ที่ใครต่อใครพร้อมกายพร้อมใจอยากจะถูกกักขังอยู่ ท่ามกลางธรรมชาติอันบริสุทธิ์เช่นนี้


อันดับ 9 เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฏร์ธานี
เกาะใหญ่เป็นอันดับสองของจังหวัดสุราษฏร์ธานี รองจากเกาะสมุยบรรยากาศธรรมชาติอันเงียบสงบ ความเขียวขจีของพืชพรรณ ความร่มรื่นของทิวไม้ริมชายหาด รวมทั้งความขาวของหาดทรายและความใสของผืนน้ำทะเล สะท้อนภาพในอดีตของเกาะสมุย เสน่ห์ที่ชวนหลงใหลอีกอย่างหนึ่งของเกาะพะงันก็คือ เทศกาล "ฟูลมูนปาร์ตี้" การเฉลิมฉลองบนชายหาดริ้น ซึ่งจะจัดขึ้นทุกวันพระจันทร์เต็มดวง ขึ้น 15 ค่ำ ในงานนักท่องเที่ยวทั้งไยและต่างประเทศนับพันที่เนืองแน่นอยู่บนหาดพากันสนุกสนานกับเสียงเพลงเร้าใจและเครื่องดื่มหลากหลายชนิดตลอดค่ำคืนยันเช้า


อันดับ 10 เกาะกูด จังหวัดตราด
เกาะขนาดใหญ่อันดับ 4 ของประเทศไทย และเป็นอันดับ 2 ของจังหวัดตราด รองจากเกาะช้าง คือผืนแผ่นดินแห่งสุดท้ายในน่านน้ำทะเลตะวันออกของไทย ธรรมชาติบนเกาะซึ่งเป็นภูเขายังคงสภาพความอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยผืนป่า แน่นขนัดด้วยต้นไม้ใหญ่ ด้วยทำเลที่อยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ค่อนข้างมาก ตะกอนเดินจากบนฝั่งแผ่มาไม่ถึง ทำให้น้ำทะเลบริเวณเกาะกูดใสสะอาด รวมทั้งหาดทรายบนเกาะกูดเองและตามเกาะบริวารก็ขาวสวย สะอาดตา จนได้รับการเรียกขานว่า "อันดามันทะเลตะวันออก"



แหล่งท่องเที่ยวประเภทกิจกรรม งานวัฒนธรรม ประเพณี

อันดับ 1 งานประเพณีแห่เทียนพรรษา จังหวัดอุบลราชธานีี
งานบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจังหวัดอุบลราชธานี โดยได้กำหนดจัดงานขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 และแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หรือในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษาของทุกปี เริ่มมีการทำต้นเทียนประกวดกันมาตั้งแต่ พ.ศ. 2470 จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2520 จังหวัดอุบลราชธานีได้รับการส่งเสริมจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้จัดงานสัปดาห์ประเพณีแห่เทียนพรรษให้เป็นงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่ของจังหวัดเรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ในงานมีการประกวดต้นเทียน 2 ประเภท คือ ประเภทติดพิมพ์และแกะสลัก โดยขบวนแห่จากคุ้มวัดต่าง ๆ พร้อมนางฟ้าประจำต้นเทียนจะเคลื่อนขบวนจากหน้าวัดศรีอุบลรัตนารามมาตามถนน จนมาสิ้นสุดที่ทุ่งศรีเมือง มีการแสดงสมโภชต้นเทียนครึกครื้นสว่างไสวไปทั่วทั้งงาน


อันดับ 2 งานประเพณีปอยส่างลอง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ปอยส่างลองคือประเพณีบรรพชาสามเณรตามแบบไทยใหญ่ ที่เชื่อกันว่าได้กุศลมากกว่าอุปสมบทพระภิกษุงานมี 3 วัน โดยในวันแรก เด็กชายที่เข้าพิธีเรียกว่า "ส่างลอง" จะโกนผม แต่ไม่โกนคิ้ว ผัดหน้าทาปาก แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสวยงาม โพกหัวประดับประดาดอกไม้ ไปขอขมารับพรจากญาติผู้ใหญ่วันที่สอง จะแห่ส่างลองขี่ม้าหรือขี่คอพี่เลี้ยงพ้อมเครื่องไทยทานไปตามถนนแล้วในวันที่สาม จึงแห่ส่างลองไปยังวัด เพื่อทำพิธีบวชต่อไป แต่เติมงานนี้จัดกัน เฉพาะหมู่ญาติสนิทมิตรสหาย กระทั่งในปี พ.ศ. 2525 ในอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอนได้จัดให้มีบรรพชาหมู่ 200 รูป เนื่องในงานฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี กลายเป็นงานใหญ่ที่นักท่องเที่ยวสนใจ นับแต่นั้นจึงจัดเป็นประจำทุกปี ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน จนถือเป็นประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองแม่ฮ่องสอน


อันดับ 3 งานเทศกาลสงกรานต์ จังหวัดเชียงใหม่
สงกรานต์เมืองเชียงใหม่ขึ้นชื่อในความยิ่งใหญ่ งดงามด้วยขบวนแห่แหน ซึ่งวัดต่าง ๆ ในตัวเมืองเชียงใหม่จะอัญเชิญพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด จัดเป็นขบวนยาวเหยียด เช่น ขบวนพระสิงห์ ขบวนพระแก้วขาว เป็นต้น พระพุทธรูปแต่ละองค์เก่าแก่อายุ 700 – 1,000 ปี ผ่านกลางเมืองมาให้คนได้ทำพิธีสรงน้ำพระด้วยน้ำหอม นอกจากนั้นยังมีทำเลสะดวกในการเล่นน้ำ เพราะมีคูน้ำล้อมรอบเมืองเก่าเป็นแหล่งน้ำให้สาดน้ำกันได้เต็มที่ จึงไม่น่าแปลกใจที่สงกรานต์เชียงใหม่ทุกปีจะมีนักท่องเที่ยวแน่นชนิดไปทั้งเมืองตลอดช่วงวันหยุดยาวเลยทีเดียว


อันดับ 4 งานประเพณีบุญบั้งไฟ จังหวัดยโสธร
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าบุญเดือนหก เป็นงานบุญที่จัดประจำทุกปีในช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงก่อนจะลงมือทำนา  ที่จังหวัดยโสธรจะจัดงานบุญบั้งไฟในวันสุดสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคม ในวันศุกร์เป็นวันที่คณะบั้งไฟทั้งหลายแห่ขบวนเซิ้งเพื่อขอรับบริจาคเงินซื้ออาหาร เครื่องดื่ม และสิ่งของจำเป็นสำหรับทำบุญ ส่วนวันเสาร์จะเป็นวันแห่ขบวนฟ้อนรำ เพื่อการแข่งขัน เน้นความสวยงามของท่าฟ้อนในจังหวะต่าง ๆ ตลอดทั้งการตกแต่งบั้งไฟและการจัดขบวนที่สวยงาม ท้ายสุดในวันอาทิตย์จะเป็นวันจุดบั้งไฟ แข่งขันความสูงของบั้งไฟที่ขึ้นไปบนฟ้า บั้งไฟที่สามารถลอยอยู่ในอากาศได้สูงและนานจะชนะการแข่งขัน เป็นงานเทศกาลประเพณีที่ครึกครื้นและสนุกสนาน


อันดับ 5 งานประเพณีแห่ผีตาโขน จังหวัดเลย
งานบุญหลวงอันมีเอกลักษณ์เป็นที่รู้จักกันดี คือการละเล่นผีตาโขน งานประเพณีที่มีการจัดกันมาหลังจากการก่อสร้างพระธาตุศรีสองรักไม่นาน ถือเป็นหนึ่งในฮิตสิบสองคองสิบสี่ของภาคอีสาน การแห่ผีตาโขนเป็นประเพณีจำลองเหตุการณ์ในชาดกเมื่อครั้งที่พระเวสสันดรและนางมัทรีเดินทางกลับออกจากป่าเข้าสู่เมือง บรรดาผีป่าหลายคนและสัตว์ นานาชนิดอาลัยรัก จึงพากันแห่แหนมาส่งทั้งสองพระองค์กลับเมือง เรียกกันว่า "ผีตามคน" ก่อนเพี้ยนมาเป็น "ผีตาโขน" อย่างในปัจจุบัน ผีตาโขนในขบวนแห่จะแยกเป็น 2 ประเภท คือ ผีตาโขนใหญ่ เป็นหุ่นรูปผีทำจากไม้ไผ่สาน สูงใหญ่กว่าคนธรรมดา 2 เท่า มีเพียง 2 ตัว คือ ผีตาโขนชาย 1 ตัว และหญิง 1 ตัว ส่วนผีตาโขนเล็กใช้วิธีประดับตกแต่งรูปร่างหน้าตาให้เป็นผีด้วยเศษวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น


อันดับ 6 งานแสดงช้างสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์
งานแสดงช้างครั้งแรกจัดขึ้นที่สนามบินเก่า อำเภอท่าตูม อันเป็นที่ตั้งโรงเรียนท่าตูมประชาเสริมวิทย์ในปัจจุบัน เพื่อเฉลิมฉลองที่ว่าการอำเภอหลังใหม่ ในงานมีการแสดงขบวนแห่ช้าง การแข่งขันช้างวิ่งเร็ว การคล้องช้าง โดยออกข่าวแพร่ภาพทั้งทางหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ ทำให้ชาวไทยและชาวต่างประเทศสนใจกันเป็นอย่างมาก ในปีต่อมา อ.ส.ท. (ททท.) จึงได้เข้ามาให้การสนับสนุน โดยร่วมกำเนิดรูปแบบของการแสดง และนำนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมาร่วมชมการแสดงในปี พ.ศ. 2505 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้การจัดงานข้างเป็นงานประจำปีของชาติ และเนื่องจากการจัดงานที่อำเภอท่าตูมไม่สะดวกในการเดินทางของนักท่องเที่ยว จึงได้ย้ายสถานที่จัดงานมาจัดงานที่สนามกีฬาจังหวัดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน


อันดับ 7 งานประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง จังหวัดสกลนคร
งานประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง ต้นกำเนิดมาจากคติความเชื่อในสมัยโบราณ  คือการทำทานที่อยู่อาศัยและการถวายรวงผึ้งแด่พระพุทธเจ้าของพญาวานรในพุทธประวัติ ความเชื่อทั้งสองเรื่องเป็นที่มาของประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง โดยในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ให้เป็นวันโฮม หรือวันรวมปราสาทผึ้งจากคุ้มต่าง ๆ ที่บริเวณวัด พร้อมกับมีการจัดงานรื่นเริง เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง ปัจจุบันการทำปราสาทผึ้งและขบวนแห่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตมาก ทั้งรูปทรงของตัวปราสาทผึ้งและลวดลายประดับประดาได้เพิ่มความวิจิตรพิสดารขึ้น ขบวนแห่ที่เคยใช้เกวียนก็กลายเป็นรถยนต์ สถานที่รวมขบวนก็เปลี่ยนจากบริเวณวัดมาอยู่ที่สนามมิ่งเมือง แต่ละปีจะมีขบวนแห่ยาวเป็นสิบกิโลเมตร ในขบวนยังมีการแสดงเกี่ยวกับประเพณีโบราณและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอีสาน


อันดับ 8 กิจกรรมล่องแก่งหินเพิง จังหวัดปราจีนบุรี
กิจกรรมล่องแก่งหินเพิงกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่มีเฉพาะในช่วงฤดูฝน ในแก่งหินเพิงซึ่งถือกำเนิดเกิดจากลำน้ำใส่ใหญ่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ สิ้นสุดที่ปลายน้ำ ณ ตำบลสะพานหิน อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี โดยนักท่องเที่ยวต้องลงเรือยางซึ่งนั่งได้ลำละประมาณ 8 - 10 คน ผ่านแก่งต่าง ๆ ที่มีระดับความยากง่ายของสายน้ำอยู่ที่ระดับ 3 - 5 ใช้ฝีมือและทักษะในการพาย รวมทั้งร่วมแรงร่วมใจช่วยกันพายอย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพื่อให้รอดพ้นจากการปะทะกับแก่งหินและไม่ให้เรือพลิกคว่ำ สนุกสนานกับลำธารใสที่สามารถแวะพักเหนื่อยเล่นน้ำกันได้ในบางจุดที่มีกระแสน้ำเบา โดยแก่งทั้ง 6 แก่ง ได้แก่ แก่งหินเพิง แก่งวังหนามล้อม แก่งวังบอน แก่งลูกเสือ แก่งวังไทร และแก่งงูเห่า และจะถึงจุดหมายปลายทางที่ท่าเรือบริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ขญ. 9


อันดับ 9 งานเทศกาลกินเจ จังหวัดภูเก็ต 
ประเพณีกินเจชาวภูเก็ต เรียกว่างานกินผัก หรือเจี๊ยะฉ่าย จัดขึ้นระหว่างวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ถึงวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ของจีน ซึ่งตรงกับเดือน 10 ของไทย เป็นประเพณีดั้งเดิมของชาวภูเก็ตซึ่งได้รับอิทธิพลจากจีน เพื่อชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ผู้ร่วมพิธีจะสวมชุดขาว งดการบริโภคเนื้อสัตว์และผักที่มีกลิ่นฉุนด้วย เริ่มมีขึ้นครั้งแรกที่อำเภอกะทู้ในปี พ.ศ. 2368 เมื่อพระยาถลาง (เจิม) ย้ายเมืองถลางมาตั้งที่บ้านเก็ตโฮ่ซึ่งอุดมไปด้วยแร่ดีบุก แต่เป็นป่าทึบ มีไข้ป่าชุกชุม ชาวเมืองล้มป่วยกันมาก คณะงิ้วที่มาแสดงอยู่ใต้ประกอบพิธีกินเจขึ้นเพื่อบวงสรวงเทพเจ้า "กิ๋วอ๋องไต่เต" และ "ยกอ๋องซ่งเต" ปรากฏว่าโรคภัยไข้เจ็บได้หมดไป ชาวเมืองเกิดศรัทธาจึงประกอบพิธีกินเจในเดือน 9 รวม 9 วัน 9 คืนทุกปี ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งสีสันของงานที่นักท่องเที่ยวสนใจเป็นพิเศษคือการแสดงอิทธิฤทธิ์ของบรรดาม้าทรงเทพเจ้า ซึ่งมีทั้งลุยไฟ ทั้งใช้ของแหลมทิ่มแทงร่างกายโดยไม่เจ็บปวด



อันดับ 10 กิจกรรมพายคายักล่องทะเล ป่าชายเลน
กิจกรรมพายคายักเป็นรูปแบบหนึ่งการท่องเที่ยวเชิงนิเวศซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงที่จังหวัดกระบี่ เนื่องจากนักท่องเที่ยวจะได้สนุกสนานกับการล่องเรือไปท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าโกงกางซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่ของสัตว์หลายชนิด เช่น นก ลิงแสม และเป็นแหล่มอนุบาลตัวอ่อนของพันธุ์สัตว์น้ำนานาพันธุ์ เพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์อันน่าตื่นตาของเทือกเขาหินปูนทั้งสองฟากฝั่ง ก่อนออกสู่ทะเลกว้างโต้คลื่นลมเป็นการเดินทางด้วยพละกำลังจากสองแรงแขนของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติรอบข้างอย่างแท้จริง



แหล่งท่องเที่ยวประเภทชุมชนวิถีชีวิต

อันดับ 1 ตลาดน้ำอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม 
ตลาดน้ำอัมพวา มาแรงคว้าตำแหน่งสุดยอดในประเภทนี้ไปด้วย เหตุที่ผู้คนหันมาสนใจการเดินทางท่องเที่ยวในแนวหวนรำลึกถึงความหลังอดีตชุมชนริมน้ำอัมพวาที่รักษาสภาพดั้งเดิมของอาคารบ้านเรือนริมน้ำเอาไว้ได้อย่างค่อนข้างสมบูรณ์ จึงได้รับการฟื้นฟูบูรณะขึ้นใหม่ โดยซูจุดขายความเป็นตลาดน้ำยามเย็น ที่ร้านรวงสองฟากฝั่งคลองครบครันด้วยข้าวของเครื่องใช้ อาหารการกิน ตลอดจนขนมนมเนยย้อนยุคย้อนสมัย รวมถึงที่พักในบรรยากาศตลาดเก่าชายน้ำ ให้ใครต่อใครได้มาตามหาความทรงจำดี ๆ ในวันวาน ที่ต่างหลงลืมไปในห้วงเวลา


อันดับ 2 อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน 
เมืองเล็กในโอบล้อมของขุนเขาสลับซับซ้อน ท้องทุ่งนาเขียวขจี และสายน้ำปายที่ไหลรี่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มีดีที่อากาศเย็นสบาย ความเงียบสงบศิลปวัฒนธรรมของชาวไทยใหญ่  แถมด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติเล็ก ๆ อย่างน้ำตกหมอแปง ปายแคนยอน คือความเรียบง่ายอันเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจ นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ให้ดั้นต้นข้ามผ่านหนทางลดเลี้ยวนับร้อยโค้ง เพียงเพื่อมาใช้เวลาซึมซับกับธรรมชาติและบรรยากาศอันเนิบช้าที่หาไม่ได้ในเมืองอันศิวิไลซ์


อันดับ 3 ตลาดน้ำดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี 
ภาพของตลาดลอยน้ำอันคลาคล่ำไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าในเครื่องแต่งกายแบบชาวสวน พายเรือน้อยใหญ่บรรทุกสินค้าผลิตผลจากสวนจากไร่มาซื้อชายแลกเปลี่ยนกัน เผยแพร่สู่สายตาชาวโลกในฐานะแหล่งท่องเที่ยวมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510 กลายเป็นภาพประทับใจในอันดับต้น ๆ ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนประเทศไทย มาถึงยุคที่เส้นทางการคมนาคมทางบกสะดวกสบายอย่างในวันนี้ ซึ่งบรรยากาศอันครึกครื้นของการค้าขายทางน้ำในตลาดน้ำดำเนินสะดวกกลายเป็นสิ่งหาดูยาก ทำให้นักท่องเที่ยวไทยรุ่นใหม่ต่างโหยหาและประทับใจ


อันดับ 4 สถานตากอากาศหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 
เมืองท่องเที่ยวชายทะเลระดับอภิมหาอมตะนิรันดร์กาล เมื่อมีการสร้างทางรถไฟสายใต้เสร็จใหม่ ๆ หัวหินรุ่งเรืองเฟื่องฟูในฐานะเมืองพักผ่อนชายทะเลระดับแนวหน้าของชนชั้นสูงอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง  ก่อนจะซบเซาเสื่อมโทรมลงไปเมื่อแหล่งท่องเที่ยวตากอากาศทางภาคตะวันออกได้รับความนิยมแทนที่ ทว่าความรุ่งเรืองของสถานตากอากาศหัวหินนั้นไม่มีวันตาย ด้วยความเป็นเมืองท่องเที่ยวทางทะเลที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ ในวันนี้ชีวิตชีวาในรูปแบบสถานตากอากาศของหัวหินจึงหวนคืนกลับมาใหม่อีกครั้ง พร้อมกับแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ มีดีไซน์และรีสอร์ตหรูหราหลากหลายรูปแบบ


อันดับ 5 ชุมชนชาวไทยภูเขา ดอยแม่สลอง จังหวัดเชียงราย
ชุมชนชาวจีนเฮ่อแห่งกองพล 93 ที่ตั้งหลักแหล่งบนดอยแม่สลองมาเนิ่นนาน โดยเมื่อกว่า 40 ปีก่อน นายพลต้วน  ผู้นำแห่งกองพัน 5 ได้เปลี่ยนกองทหารพลัดถิ่นให้เป็นชาวดอย ทำมาหากินด้วยการปลูกชาจีน ปัจจุบันมีชื่อว่าหมู่บ้านสัติคิรี ตั้งอยู่ที่ความสูงเฉลี่ย 1,200 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง อากาศเย็นสบายตลอดปี บนถนนที่ตัดขึ้นดอยช่วงสุดท้ายก่อนถึงยอดดอยระยะทาง 4 กิโลเมตร เมื่อถึงฤดูหนาวต้นซากุระข้างทางจะออกดอกสีชมพูสะพรั่งเป็นแนวสวยงาม เรียกกันว่าถนนสายซากุระ ในบริเวณใกล้เคียงยังมีสถานที่สำคัญ คือ พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคิรีบนยอดเขา สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่สมเด็จย่า และสุสานนายพลต้วน


อันดับ 6 ชุมชนเกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 
ชุมชนชาวมอญในอดีตที่อพยพจากเมืองซึ่งเคยเป็นอาณาจักรมอญในประเทศพม่า ทำเครื่องปั้นดินเผาเป็นอาชีพสืบเนื่องกันมา บนเกาะจึงเต็มไปด้วยศิปลวัฒนธรรมและวิถีการดำเนินชีวิตของชาวไทยเชื้อสายมอญ รวมทั้งวัดวาอารามเก่าแก่ เช่น วัดปรมัยยิกาวาส วัดเสาธงทอง วัดฉิมพลี วัดไผ่ล้อม วัดป่าเลไลยก์ ในวันหยุดสุดสัปดาห์นักท่องเที่ยวมักจะแวะเวียนมาสนุกสนานกับการนั่งเรือเที่ยวรอบเกาะ ดูทิวทัศน์บ้านเรือน และวิถีชีวิตครึ่งเมืองครึ่งชนบทของชาวเกาะเกร็ด เลือกซื้อเครื่องปั้นดินเผา และเพลิดเพลินกับการชิมอาหารตามแบบฉบับชาวไทยเชื้อสายมอญ


อันดับ 7 ถนนคนเดิน ถนนวัวลายและประตูท่าแพ จังหวัดเชียงใหม่ 
กิจกรรมถนนคนเดินจัดขึ้นตามแนวคิดในการพัฒนาเมืองและการกำหนดใช้พื้นที่เมืองให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตชุมชน ที่จังหวัดเชียงใหม่เริ่มจัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ประตูท่าแพ ในปี พ.ศ. 2545 ปัจจุบันมีถนนคนเดินทั้งวันเสาร์และอาทิตย์ ในช่วงเวลา 16.00 – 23.00 น. โดยวันเสาร์จัดที่ถนนวัวลาย ปิดถนนทั้งสาย ความยาวกว่า 3 กิโลเมตร ให้เป็นตลาดนัดซื้อขายสินค้าของที่ระลึก ซึ่งเน้นไปที่เครื่องเงิน รวมทั้งการแสดงทางวัฒนธรรมล้านนา และหลากหลายอาหารพื้นบ้านเมืองเหนือ ส่วนวันอาทิตย์จัดที่ประตูท่าแพ กลางเมืองเชียงใหม่ ปิดถนนตั้งแต่แยกอุปคุตถึงประตูท่าแพ ความยาวประมาณ 950 เมตร สินค้าที่จำหน่ายมีหลากหลาย ทั้งของตกแต่งบ้าน ของพื้นเมือง ของที่ระลึก ของเล่นจัดเป็นชีวิตชีวาที่เป็นสีสันของเมืองเชียงใหม่


อันดับ 8 อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 
เมืองเล็ก ๆ ตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่า "สามประสบ" จุดที่ลำน้ำสามสาย อันได้แก่ แม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำรันตี ไหลมาบรรจบกันเป็นแม่น้ำแควน้อย ทิวทัศน์สวยงามตามธรรมชาติ และมีชาวมอญอาศัยอยู่มาก ในปี พ.ศ. 2527 หลังก่อสร้างเชื่อนวซิราลงกรณ ทำให้น้ำท่วมตัวอำเภอสังขละบุรีเก่าทั้งหมด จึงได้ย้ายเมืองมาอยู่บนเนินเขา ทว่าวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวมอญที่ผูกพันเหนียวแน่นอยู่กับพุทธศาสนายังคงอยู่ แหล่งท่องเที่ยวสำคัญคือสะพานมอญ หรือสะพานอุตตมานุสรณ์ สะพานไม้ 850 เมตร ยาวที่สุดในประเทศไทย ข้ามลำน้ำซองกาเลีย เป็นจุดที่จะเห็นวิถีชีวิตชาวมอญที่สัญจรไปมา และทิวทัศน์ทะเลสาบเขื่อนวชิราลงกรณที่สวยงาม อีกแห่งคือเมืองบาดาล เมืองสังขละบุรีเก่าที่จมอยู่ใต้น้ำและจะโผล่ขึ้นมาในยามน้ำลด เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยว Unseen Thailand


อันดับ 9 เมืองเชียงคาน จังหวัดเลย 
ชุมชนริมฝั่งแม่น้ำโขงที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาได้เนิ่นนานร่วมศตวรรษ เพิ่งจัดงานฉลอง "100 ปี เชียงคาน เมืองโบราณริมฝั่งโขง" ไปเมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมานี้ ด้วยบรรยากาศเงียบสงบแบบเมืองชายแดน ห้องแถวเรือนไม้เก่าคร่ำคร่า ร้านกาแฟกับมุมหนังสือเล็ก ๆ รวมทั้งผู้คนที่เป็นมิตร ยิ้มแย้ม เปี่ยมด้วยอัธยาศัย ดึงดูดนักท่องเที่ยวคนรุ่นใหม่ให้มาเยือนหลายสิ่งหลายอย่างที่ขาดหายไปในสังคมเมืองสมัยใหม่


อันดับ 10 ชุมชนแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่
อำเภอเล็ก ๆ ในอ้อมกอดของหุบเขาแห่งนี้ ในอดีตเคยเป็นเสมือนเมืองลับแล เนื่องจากถนนหนทางทุรกันดารคดเคี้ยวตามทางภูเขา ทำให้การเดินทางมาแม่แจ่มค่อนข้างลำบาก แต่นั่นก็ทำให้ธรรมชิตที่อุดมสมบูรณ์สองฟากฝั่งสายน้ำแม่แจ่มที่หล่อเลี้ยงผู้คน วัดวาอารามเก่าแก่อันทรงคุณค่า ตลอดจนวิถีชีวิตที่เรียบง่ายตามแนวทางพระพุทธศาสนา และผู้คนที่เปี่ยมด้วยอัธยาศัยไมตรี มีรอยยิ้ม อบอุ่นด้วยน้ำใจ ยังคงสภาพเดิมอยู่เหนือกาลเวลา กลายเป็นดินแดนในฝันอันเป็นจุดหมายของนักเดินทาง ที่แสวงหาเมืองอันสงบสุขเรียบง่ายไร้การปรุงแต่ง 



ความรู้เกี่ยวกับอาเซียน
อาเซียน (ASEAN) เป็นการรวมตัวกันของ 10 ประเทศในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ผู้นำอาเซียนได้ร่วมลงนามในปฎิญญาว่าด้วยความร่วมมืออาเซียนเห็นชอบให้จัดตั้ง ประชาคมอาเซียน(ASEAN Community) คือ เป็นองค์กรระหว่างประเทศระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีจุดเริ่มต้นโดยประเทศไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ได้ร่วมกันจัดตั้งสมาคมแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East Asia) เมื่อเดือน ก.ค.2504 เพื่อการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม แต่  
ดำเนินการไปได้เพียง 2 ปี ก็ต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากความผกผันทางการเมืองระหว่างประเทศอินโดนีเซียและประเทศมาเลเซีย จนเมื่อมีการฟื้นฟูสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างสองประเทศ 

จึงได้มีการแสวงหาหนทางความร่วมมือกันอีกครั้ง และสำเร็จภายในปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) แต่ต่อมาได้ตกลงร่นระยะเวลาจัดตั้งให้เสร็จในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) ในปีนั้นเองจะมีการเปิดกว้างให้ประชาชนในแต่ละประเทศสามารถเข้าไปทำงานในประเทศอื่นๆ ในประชาคมอาเซียนได้อย่างเสรี   เสมือนดังเป็นประเทศเดียวกัน 

ความเป็นมาของอาเซียน
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Southeast Asian Nations ASEAN) ก่อตั้งขึ้นโดยปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok  Declaration) หรือ ปฏิญญาอาเซียน(ASEAN  Declaration) เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510 โดยมีประเทศสมาชิก 5 ประเทศ ประกอบด้วย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางด้านการเมือง  เศรษฐกิจและสังคม  ของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อมามีประเทศสมาชิกเพิ่มเติม ได้แก่ บรูไนดารุส-ซาลาม   เวียดนาม ลาว เมียนมาร์ และกัมพูชา ตามลำดับ จึงทำให้ปัจจุบันอาเซียนมีสมาชิก  10  ประเทศ

“อาเซียน” สู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558 
ปัจจุบันบริบททางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ทำให้อาเซียนต้องเผชิญสิ่งท้าทายใหม่ๆ เช่น โรคระบาด การก่อการร้าย ยาเสพติด การค้ามนุษย์ สิ่งแวดล้อม ภัยพิบัติ  อีกทั้งยังมีความจำเป็นต้องรวมตัวกันเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและขีดความสามารถทางการแข่งขันกับประเทศในภูมิภาคใกล้เคียงและในเวทีระหว่างประเทศ ผู้นำอาเซียนจึงเห็นพ้องกันว่า อาเซียนควรจะร่วมมือกันให้เหนียวแน่น เข้มแข็ง และมั่นคงยิ่งขึ้น จึงได้ประกาศ “ปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือในอาเซียน ฉบับที่ 2” (Declaration  of  ASEAN  Concord  II) ซึ่งกำหนดให้มีการสร้างประชาคมอาเซียนที่ประกอบไปด้วย 3 เสาหลัก ได้แก่  
              
- ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political and Security Community - APSC) มุ่งให้ประเทศกลุ่มสมาชิกอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข แก้ไขปัญหาระหว่างกันโดยสันติวิธี มีเสถียรภาพและความมั่นคงรอบด้าน เพื่อความมั่นคงปลอดภัยของเหล่าประชาชน
-  ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community - AEC) มุ่งเน้นให้เกิดการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ และความสะดวกในการติดต่อค้าขายระหว่างกัน เพื่อให้ประเทศสมาชิกสามารถแข่งขันกับภูมิภาคอื่นๆได้โดย 
-   ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio - Cultural Community - ASCC) มุ่งหวังให้ประชากรอาเซียนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี มีความมั่นคงทางสังคม มีการพัฒนาในทุกๆ ด้าน และมีสังคมแบบเอื้ออาร โดยจะมีแผนงานสร้างความร่วมมือ 6 ด้าน คือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การคุ้มครองและสวัสดิการสังคม สิทธิและความยุติธรรมทางสังคม ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม การสร้างอัตลักษณ์อาเซียน การลดช่องว่างทางการพัฒนา
              
            ซึ่งต่อมาผู้นำอาเซียนได้ตกลงให้มีการจัดตั้งประชาคมอาเซียนให้แล้วเสร็จเร็วขึ้นมาเป็นภายในปี 2558

ประชาคมอาเซียน คือ 
ประชาคมอาเซียน(ASEAN  Community) คือ การรวมตัวของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนให้เป็นชุมชนที่มีความแข็งแกร่ง สามารถสร้างโอกาสและรับมือส่งท้าท้าย ทั้งด้านการเมืองความมั่นคง เศรษฐกิจ และภัยคุกคามรูปแบบใหม่ โดยสมาชิกในชุมชนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี สามารถประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น และสมาชิกในชุมชนมีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


จุดประสงค์หลักของอาเซียน
              
ปฏิญญากรุงเทพฯ ได้ระบุวัตถุประสงค์สำคัญ 7 ประการของการจัดตั้งอาเซียน ได้แก่ 
1.ส่งเสริมความร่วมมือและความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และการบริหาร
2.ส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงส่วนภูมิภาค 
3.เสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจพัฒนาการทางวัฒนธรรมในภูมิภาค 
4.ส่งเสริมให้ประชาชนในอาเซียนมีความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดี 
5.ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในรูปของการฝึกอบรมและการวิจัย และส่งเสริมการศึกษาด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
6.เพิ่มประสิทธิภาพของการเกษตรและอุตสาหกรรม การขยายการค้า ตลอดจนการปรับปรุงการขนส่งและการคมนาคม
7.เสริมสร้างความร่วมมืออาเซียนกับประเทศภายนอก องค์การ ความร่วมมือแห่งภูมิภาคอื่นๆ  และองค์การระหว่างประเทศ

ภาษาอาเซียน 
ภาษาทางการที่ใช้ในการติดต่อประสานงานระหว่างประเทศสมาชิก คือ ภาษาอังกฤษ

คำขวัญของอาเซียน
"หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม”
(One Vision, One Identity, One Community)

อัตลักษณ์อาเซียน
อาเซียนจะต้องส่งเสริมอัตลักษณ์ร่วมกันของตนและความรู้สึกเป็นเจ้าของในหมู่ประชาชนของตน เพื่อให้บรรลุชะตา เป้าหมาย และคุณค่าร่วมกันของอาเซียน


สัญลักษณ์อาเซียน 
คือ ดวงตราอาเซียนเป็นรูปมัดรวงข้าว สีเหลืองบนพื้นวงกลม สีแดงล้อมรอบด้วยวงกลมสีขาว และสีน้ำเงิน 

- รวงข้าวสีเหลือง 10 ต้น หมายถึง ความใฝ่ฝันของบรรดาสมาชิกในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทั้ง 10 ประเทศ ให้มีอาเซียนที่ผูกพันกันอย่างมีมิตรภาพและเป็นหนึ่งเดียว
- วงกลม  เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงเอกภาพของอาเซียน
- ตัวอักษรคำว่า asean สีน้ำเงิน อยู่ใต้ภาพรวงข้าว แสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกันเพื่อความมั่นคง สันติภาพ เอกภาพ และความก้าวหน้าของประเทศสมาชิกอาเซียน
              
สีเหลือง: หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง 
   สีแดง: หมายถึง ความกล้าหาญและการมีพลวัติ 
   สีขาว: หมายถึง ความบริสุทธิ์ 
สีน้ำเงิน: หมายถึง สันติภาพและความมั่นคง

                                      
ธงอาเซียน 
ธงอาเซียนเป็นธงพื้นสีน้ำเงิน มีดวงตราอาเซียนอยู่ตรงกลาง แสดงถึงเสถียรภาพ สันติภาพ ความสามัคคี และพลวัตของอาเซียน 

สีของธงประกอบด้วย  สีน้ำเงิน สีแดง สีขาว และสีเหลือง ซึ่งเป็นสีหลักในธงชาติของบรรดาประเทศสมาชิกของอาเซียนทั้งหมด


วันอาเซียน 
ให้วันที่  8  สิงหาคม ของทุกปี เป็นวันอาเซียน

เพลงประจำอาเซียน (ASEAN  Anthem) 
คือ  เพลง  ASEAN  WAY


กฎบัตรอาเซียน

กฎบัตรอาเซียน กำหนดให้อาเซียนและประเทศสมาชิกปฏิบัติตามหลักการดังต่อไปนี้ 
1.เคารพเอกราช อธิปไตย ความเสมอภาค บูรณภาพแห่งดินแดน และอัตลักษณ์แห่งชาติของรัฐสมาชิกอาเซียนทั้งปวง
2.ผูกพันและรับผิดชอบร่วมกันในการเพิ่มพูนสันติภาพ ความมั่นคง และความมั่งคั่งของภูมิภาค
3.ไม่รุกรานหรือข่มขู่ว่าจะใช้กำลังหรือการกระทำอื่นใดในลักษณะที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ
4.ระงับข้อพิพาทโดยสันติ
5.ไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐสมาชิกอาเซียน
6.เคารพสิทธิของรัฐสมาชิกทุกรัฐในการธำรงประชาชาติของตนโดยปราศจากการแทรกแซง การบ่อนทำลาย และการบังคับจากภายนอก
7.ปรึกษาหารือที่เพิ่มพูนขึ้นในเรื่องที่มีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อผลประโยชน์ร่วมกันของอาเซียน
8.ยึดมั่นต่อหลักนิติธรรม ธรรมาภิบาล หลักการประชาธิปไตยและรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญ
9.เคารพเสรีภาพพื้นฐาน การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และการส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคม
10.ยึดถือกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศที่รัฐสมาชิกอาเซียนยอมรับ
11.ละเว้นจากการมีส่วนร่วมในการคุกคามอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดนหรือเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจของรัฐสมาชิกอาเซียน
12.เคารพในวัฒนธรรม ภาษา และศาสนาที่แตกต่างของประชาชนอาเซียน
13.มีส่วนร่วมกับอาเซียนในการสร้างความสัมพันธ์กับภายนอกทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ  และสังคม โดยไม่ปิดกั้นและไม่เลือกปฏิบัติ
14.ยึดมั่นในกฎการค้าพหุภาคีและระบอบของอาเซียน

ประเทศไทยจะได้ประโยชน์อะไรจาก AEC (ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน)
           
ประชาคมอาเซียนที่จะถือกำเนิดในปี 2558 นั้น คนไทยจะได้ประโยชน์อะไร 
ประการแรก ไทยจะ “มีหน้ามีตาและฐานะ” เด่นขึ้นประชาคมอาเซียนจะทำให้เศรษฐกิจ “ของเรา” มีมูลค่ารวมกัน 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีขนาดใหญ่อันดับ 9 ของโลก ยังประโยชน์แก่คนไทยทุกคนที่จะได้ยืนอย่างสง่างาม “ยิ้มสยาม” จะคมชัดขึ้น

ประการที่สอง การค้าระหว่างไทยกับประเทศอาเซียนจะคล่องและขยายตัวมากขึ้น กำแพงภาษีจะลดลงจนเกือบจะหมดไป เพราะ 10 ตลาดกลายเป็นตลาดเดียว ผู้ผลิตจะส่งสินค้าไปขายในตลาดนี้และขยับขยายธุรกิจของตนง่ายขึ้น ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็จะมีทางเลือกมากขึ้นราคาสินค้าจะถูกลง

ประการที่สาม ตลาดของเราจะใหญ่ขึ้น แทนที่จะเป็นตลาดของคน 67 ล้านคน ก็จะกลายเป็นตลาดของคน 590 ล้านคน ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจ เพราะสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยสามารถส่งออกไปยังอีกเก้าประเทศได้ราวกับส่งไปขายต่างจังหวัด ซึ่งก็จะช่วยให้เราสามารถแข่งขันกับจีนและอินเดียในการดึงดูดการลงทุนได้มากขึ้น

ประการที่สี่ ความเป็นประชาคมจะทำให้มีการพัฒนาเครือข่ายการสื่อสารคมนาคมระหว่างกันเพื่อประโยชน์ด้านการค้าและการลงทุน แต่ก็ยังผลพลอยได้ในแง่การไปมาหาสู่กัน ซึ่งก็จะช่วยให้คนในอาเซียนมีปฏิสัมพันธ์กัน รู้จักกัน และสนิทแน่นแฟ้นกันมากขึ้น เป็นผลดีต่อสันติสุข ความเข้าใจอันดีและความร่วมมือกันโดยรวม นับเป็นผลทางสร้างสรรค์ในหลายมิติด้วยกัน

ประการที่ห้า โดยที่ ไทยตั้งอยู่ในจุดกึ่งกลางบนภาคพื้นแผ่นดินใหญ่อาเซียน ประเทศไทยย่อมได้รับประโยชน์จากปริมาณการคมนาคมขนส่งที่จะเพิ่มขึ้นในอาเซียนและระหว่างอาเซียนกับจีน (และอินเดีย) มากยิ่งกว่าประเทศอื่นๆ บริษัทด้านขนส่ง คลังสินค้า ปั๊มน้ำมัน ฯลฯ จะได้รับประโยชน์อย่างชัดเจน จริงอยู่ ประชาคมอาเซียนจะยังผลทั้งด้านบวกและลบต่อประเทศไทย ขึ้นอยู่กับพวกเราคนไทยจะเตรียมตัวอย่างไร แต่ผลทางบวกนั้นจะชัดเจน เป็นรูปธรรมและจับต้องได้


  8 อาชีพที่สามารถ ทำงานได้อย่างเสรีใน 10 ประเทศอาเซียน


            ผลจากการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 9 ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ได้กำหนดให้จัดทำข้อตกลงยอมรับร่วมกัน (Mutual Recognition Arrangements : MRAs) ด้าน คุณสมบัติในสาขาวิชาชีพหลัก เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายนักวิชาชีพ หรือแรงงานเชี่ยวชาญ หรือผู้มีความสามารถพิเศษของอาเซียนได้อย่างเสรี ด้านคุณสมบัติในสาขาอาชีพหลัก เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้าย นักวิชาชีพ แรงงานเชี่ยวชาญ หรือผู้มีความสามารถพิเศษได้อย่างเสรี ข้อตกลงเรื่องการเคลื่อนย้ายแรงงาน ฝีมือไปทำงานในประเทศกลุ่มอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ได้อย่างเสรี ได้กำหนดครอบคลุม 8 อาชีพ และก็มีข่าวว่าอาจจะมีการเพิ่มจำนวนอาชีพขึ้นมาอีกในลำดับถัดไป สำหรับ 8 อาชีพที่มีข้อตกลงกันแล้วให้สามารถเคลื่อนย้ายไปทำงานได้อย่างเสรี ได้แก่

            -  อาชีพวิศวกร (Engineering Services)
            -  อาชีพพยาบาล (Nursing Services)
            -  อาชีพสถาปนิก (Architectural Services) 
            -  อาชีพการสำรวจ (Surveying Qualifications)           
            -  อาชีพนักบัญชี (Accountancy Services)
            -  อาชีพทันตแพทย์ (Dental Practitioners)
            -  อาชีพแพทย์ (Medical Practitioners)
            -  อาชีพการบริการ/การท่องเที่ยว (Tourism)

และการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือเสรีในกลุ่ม 8 อาชีพนั้น มีผลดีต่อไทยไม่น้อย เพราะในภาพรวม สถาบันการศึกษา ระดับอุดมศึกษาในไทยมีศักยภาพในด้านการผลิตบุคลากรในสายวิชาชีพทั้ง 8 ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งทำให้ผู้จบการศึกษาในสายวิชาชีพทั้ง 8 ตั้งแต่ระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอกมีตลาดงานที่เปิดกว้างมากขึ้น
            
จากเดิมที่ตลาดมีแค่การให้บริการประชาชน 63 ล้านคน เป็นตลาดของประชาชนร่วม 600 ล้านคนใน 10 ประเทศ อาเซียน นอกจากนั้น ประเทศเหล่านี้รวมทั้งไทยอยู่ในทิศทางที่กำลังเติบโตทางด้านเศรษฐกิจทั้งสิ้น เร็วบ้าง ช้าบ้าง และโดยภาพรวมคุณภาพของผู้จบวิชาชีพทั้ง 8 ในไทยก็สูงอยู่ในระดับแถวหน้าของประเทศอาเซียน ทำให้โอกาสในการหางานมีสูง

ในขณะที่คนไทยสามารถไปทำงานในประเทศอาเซียนได้อย่างเสรีนั้น สภาวิชาชีพ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแล มาตรฐานของอาชีพทั้ง 8 นั้น คงต้องมีการดำเนินการอย่างเข้มแข็งรัดกุมเป็นอย่างมาก เพื่อรักษามาตรฐานของผู้จบวิชาชีพ ในสาขาอาชีพนั้นๆในไทยให้คงเดิม หรือยกระดับให้สูงขึ้นไปอีกป้องกันมิให้เกิดการอ่อนด้อยในเรื่องมาตรฐานขององค์กรในการผลิตคน บางแห่งที่อาจใช้โอกาสนี้เพิ่มรายได้ในการเร่งผลิตคนในวิชาชีพเหล่านั้น จำนวนมากเพื่อตอบสนอง ตลาดที่ใหญ่ขึ้น มิฉะนั้นอาจส่งผลกระทบทางลบโดยรวมอีกปัญหาที่อาจะตามมาอีกอย่าง คือ บางวิชาชีพไทยเริ่มจะเข้าสู่วิกฤตการขาดแคลนอาจารย์ เช่น ทันตแพทย์ ถ้าแก้ปัญหาไม่ทันท่วงทีในเวลาอีกสามถึงห้าปีข้างหน้า ไทยจะมีปัญหาเรื่องการสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ในสายวิชาชีพทันตแพทย์อย่างแน่นอน      
            
ขณะเดียวกัน ก็ต้องระวังดูแลในเรื่องมาตรฐานของคนจากประเทศต่างๆ ในอาเซียนที่เข้ามาประกอบอาชีพทั้ง 8 อาชีพ ในไทยด้วยเช่นกัน เพราะอาจจะมีผู้มาจากประเทศอื่นที่มาประกอบอาชีพในไทยมีปัญหาความอ่อนด้อยใน เรื่องมาตรฐาน ซึ่งถ้าดูแลไม่รอบคอบรัดกุม อาจก่อเกิดผลกระทบกับสังคมไทยในทางลบ และอาจส่งผลต่อปัญหาการประกอบอาชีพของคนไทยเอง
            
แต่อย่างไรก็ตามในภาพรวม สังคมไทยกำลังเข้าสู่ภาวะสังคมผู้สูงอายุ จำนวนคนในวัยทำงานกำลังลดลงอย่างมีนัยสำคัญ มีข้อมูลว่าอีกประมาณสิบปีข้างหน้า สัดส่วนคนในวัยทำงานจะต่ำกว่าประชากรผู้สูงอายุมาก นี่จะทำให้เกิดการขาดแคลน แรงงาน โดยเฉพาะแรงงานฝีมือในกลุ่มอาชีพทั้ง 8 นั้น ผู้ที่จบจากสายวิชาชีพดังกล่าวจะประกันได้ว่าไม่น่าจะมีใครที่ตกงาน เพราะมีตลาดใหญ่มากรองรับทั้งในไทย และในประเทศอาเซียน

ข้อตกลงเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีในกลุ่มประเทศอาเซียนทั้ง 8 อาชีพในปี 2015 (2558) แม้จะเป็นโอกาสทองของคนไทยในสายวิชาชีพดังกล่าว แต่ก็มีจุดที่ต้องระวังอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ทั้งในด้านการที่คนของเราไปทำงานบ้านเขา และการที่คนบ้านเขามาทำงานในบ้านเรา เพราะถ้าการระวังไม่รัดกุม โอกาสทองนั้นอาจพลิกเป็นวิกฤต และมีผลกระทบรุนแรงต่อบางสายวิชาชีพได้

อาหารประจำชาติอาเซียน
อาหารประจำชาติอาเซียน สะท้อนถึงวัฒนธรรมชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในอาเซียน ที่มีการผสมกลมกลืนเข้ากับอิทธิพลที่ได้รับทั้งจากเพื่อนบ้านประเทศอาเซียนด้วยกันจากอดีตถึงปัจจุบันในภูมิภาคที่ได้ชื่อว่า อุดมสมบูรณ์มากที่สุดในโลก หลายประเทศมีวัฒนธรรมการกินที่คล้ายคลึงกัน ขณะเดียวกันแต่ละชาติก็มีเมนูอาหารที่เด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น ต้มยำกุ้งของไทย อโดโบ้ของฟิลิปปินส์ ฯลฯ เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับอาเซียน จึงให้ความรู้เกี่ยวกับอาหารยอดนิยมของแต่ละประเทศในอาเซียน เพื่อให้ได้รับความรู้ต่อไป

1.ประเทศไทย (Thailand) : ต้มยำกุ้ง (Tom Yam Goong)




ต้มยำกุ้ง (Tom Yam Goong) เป็นอาหารที่โด่งดังมากที่สุดของประเทศไทย ชาวต่างชาติจะรู้จักต้มยำกุ้งมากกว่าต้มยำชนิดอื่นๆ การปรุงต้มยำกุ้งจะเน้นรสชาติเปรี้ยวและเผ็ดเป็นหลัก จะออกเค็มและหวานเล็กน้อย มีเครื่องเทศที่ใส่ในน้ำแกงที่สำคัญคือ ใบมะกรูด ตะไคร้ ส่วนผักที่นิยมใส่ในต้มยำ ได้แก่ มะเขือเทศ เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า ใบผักชี ส่วนเครื่องปรุงที่จำเป็นต้องใส่ คือ มะนาว น้ำปลา น้ำตาล และน้ำพริกเผา

2.เวียดนาม (Vietnam) : Nem หรือ เปาะเปี๊ยะเวียดนาม


Nem หรือ เปาะเปี๊ยะเวียดนาม เป็นอาหารพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเวียดนาม แผ่นเปาะเปี๊ยะทำจากแผ่นแป้งที่ทำจากข้าวเจ้า โดยไส้เปาะเปี๊ยะอาจเป็นไก่ หมู กุ้ง ห่อรวมกับผักต่าง ๆ นับเป็นอาหารยอดนิยมที่สามารถรับประทานได้ทั่วไปในเวียดนาม

3.ลาว (Laos) : ซุปไก่ (Chicken Soup) 


ซุปไก่ (Chicken Soup) เป็นอาหารพื้นเมืองของประเทศลาว มีส่วนผสมในการประกอบอาหาร คือ ตะไคร้ ใบสะระแหน่ กระเทียม และหอมแดง ทั้งนี้ อาหารลาวโดยส่วนใหญ่มักจะมีผักและสมุนไพรเป็นส่วนผสมในการปรุง 

4.กัมพูชา (Cambodia) : อาม็อก (Amok)


อาม็อก (Amok) มีลักษณะคล้ายห่อหมกของไทย ทำจากปลา น้ำพริก เครื่องแกงและกะทิ อาม็อก เป็นหนึ่งในอาหารยอดนิยมของกัมพูชา

5.มาเลเซีย (Malaysia) : นาซิ เลอมัก (Nasi Lemak)


นาซิ เลอมัก (Nasi Lemak) อาหารยอดนิยมของประเทศมาเลเซีย เป็นข้าวผัดกับกะทิและสมุนไพร นาซิ เลอมัก เสิร์ฟพร้อมกับปลากะตักทอด แตงกวาหั่น ไข่ต้มสุกและถั่วอบ นาซิ เลอมัก แบบดั้งเดิม จะห่อในใบตองและรับประทานเป็นอาหารเช้า

6.พม่า (Myanmar) : หล่าเพ็ด (Lahpet)


หล่าเพ็ด (Lahpet) อาหารประจำชาติของพม่าที่มีลักษณะคล้ายกับยำเมี่ยงของไทย โดยรับประทานกับเครื่องเคียง เช่น ใบชาหมัก กระเทียมเจียว ถั่วชนิดต่าง ๆ งาคั่ว กุ้งแห้ง ขิง มะพร้าวคั่ว เป็นต้น 

7.ฟิลิปปินส์ (Philippines) : อโดโบ้ (Adobo)


อโดโบ้ (Adobo) อาหารยอดนิยมของประเทศฟิลิปปินส์ เป็นอาหารที่มีต้นกำเนิดมาจากภาคเหนือของฟิลิปปินส์และเป็นที่นิยมของนัก เดินทางหรือนักเดินเขา อโดโบ้ทำจากหมูหรือไก่ที่ผ่านกรรมวิธีหมักและปรุงรสโดยจะใส่ซีอิ๊วขาว น้ำส้มสายชู กระเทียมสับ ใบกระวาน พริกไทยดำ นำไป ทำให้สุกโดยใส่ในเตาอบหรือทอด และรับประทานกับข้าว

8.สิงคโปร์ (Singapore) : ลักสา (Laksa) เป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำ (ใส่กะทิ)


ลักสา (Laksa) เป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำ (ใส่กะทิ) มีลักษณะคล้ายข้าวซอยของไทย โดยเส้นก๋วยเตี๋ยวจะมีลักษณะคล้าย vermicelli ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นสปาเกตตีของอิตาลี

9.อินโดนีเซีย (Indonesia) : กาโด กาโด (Gado Gado)


กาโด กาโด (Gado Gado) อาหารยอดนิยมของอินโดนีเซียคล้ายกับสลัดแขก ซึ่งจะประกอบด้วยถั่วเขียว มันฝรั่ง ถั่วงอก เต้าหู้ ไข่ต้มสุก กะหล่ำปลี ข้าวเกรียบกุ้ง รับประทานกับซอสถั่วที่มีลักษณะเหมือนซอสสะเต๊ะ 

10.บรูไน ดารุสซาลาม (Brunei Darussalam) : อัมบูยัต (Ambuyat)


อัมบูยัต (Ambuyat) จัดเป็นอาหารประจำชาติ ที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศบรูไน ดารุสซาลาม มีลักษณะคล้ายข้าวต้ม หรือโจ๊ก มีส่วนผสมของแป้งสาคูเป็นหลัก โดยทั่วไปอัมบูยัต คือ อาหารที่รับประทานแทนข้าว โดยจะมีอาหารจานหลักและเครื่องเคียงอย่างน้อย 3 อย่าง วางอยู่โดยรอบ 

ดอกไม้ประจําชาติอาเซียน 10 ประเทศ 


1. บรูไนดารุสซาลาม (Negara Brunei Darussalam) : ดอกซิมปอร์
ดอกไม้ประจำชาติบรูไน ก็คือ ดอกซิมปอร์ (Simpor) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ดอกส้านชะวา (Dillenia) ดอกไม้ประจำท้องถิ่นบรูไน ที่มีกลีบขนาดใหญ่สีเหลือง หากบานเต็มที่แล้วกลีบดอกจะมีลักษณะคล้ายร่ม พบเห็นได้ตามแม่น้ำทั่วไปของบรูไน มีสรรพคุณช่วยรักษาบาดแผล 


2. ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia) : ดอกลำดวน
กัมพูชามีดอกไม้ประจำชาติเป็น ดอกลำดวน (Rumdul) ดอกไม้สีขาวปนเหลืองนวล กลีบดอกหนาทึบและแข็งเล็กน้อย มีกลิ่นหอมเย็นแบบกรุ่น ๆ ถูกจัดเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งเพราะมีความหมายถึงความสดชื่นหอมกรุ่น และเป็นดอกไม้สำหรับสุภาพสตรี วิธีปลูกที่ถูกต้อง ต้องปลูกไว้ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตัวบ้าน ที่สำคัญต้องปลูกในวันพุธ


3. สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Republic of Indonesia) : ดอกกล้วยไม้ราตรี
ดอกไม้ประจำชาติอินโดนีเซีย คือ ดอกกล้วยไม้ราตรี (Moon Orchid) ซึ่งเป็นหนึ่งในดอกกล้วยไม้ที่บานอยู่ได้นานที่สุด โดยช่อดอกนั้นสามารถแตกกิ่งและอยู่ได้นาน 2-6 เดือน โดยดอกจะบานแค่ปีละ 2-3 ครั้งเท่านั้น ทั้งนี้ดอกกล้วยไม้ราตรีสามารถเจริญเติบโตได้ดีในอากาศชื้น จึงพบเห็นได้ง่ายในพื้นที่ราบต่ำของประเทศอินโดนีเซีย


 4. สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (Lao People's Democratic Republic) : ดอกจำปาลาว
ดอกไม้ประจำชาติประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างประเทศลาว คือ ดอกจำปาลาว (Dok Champa) คนไทยรู้จักกันดีในชื่อ ดอกลีลาวดี หรือ ดอกลั่นทม โดยดอกจำปาลาวมักมีสีสันหลากหลาย ไม่เฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นเพียงสีขาวเท่านั้น เช่น สีชมพู สีเหลือง สีแดง หรือสีโทนอ่อนต่าง ๆ โดยดอกจำปาลาวนั้นเป็นตัวแทนของความสุขและความจริงใจ จึงนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อประดับประดาในงานพิธีต่าง ๆ รวมทั้งใช้เป็นพวงมาลัยเพื่อรับแขกอีกด้วย


5. ประเทศมาเลเซีย (Malaysia) : ดอกพู่ระหง
สำหรับประเทศมาเลเซียนั้น มีดอกไม้ประจำชาติเป็น ดอกพู่ระหง (Bunga Raya) ในภาษาท้องถิ่นเรียกกันว่า บุหงารายอ หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ ดอกชบาสีแดง ลักษณะกลีบดอกเป็นสีแดง มีเกสรยื่นยาวออกมาเหนือดอก ซึ่งถูกจัดให้เป็นสัญลักษณ์ของประเทศมาเลเซีย เพื่อเสริมสร้างความเป็นปึกแผ่นและความอดทนในชาติ โดยเชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมให้สูงส่งและสง่างาม รวมทั้งยังสามารถนำไปใช้ในทางการแพทย์และความงามได้อีกด้วย


 6. สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of the Philippines) : ดอกพุดแก้ว
ดอกไม้ประจำชาติฟิลิปปินส์ คือ ดอกพุดแก้ว (Sampaguita Jasmine) ดอกมีสีขาวกลีบดอกเป็นรูปดาว มีกลิ่นหอม บานส่งกลิ่นในตอนกลางคืน ถือเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ เรียบง่าย อ่อนน้อมถ่อมตน รวมถึงความเข้มแข็งอีกด้วย เคยถูกนำมาใช้เฉลิมฉลองในตำนานเรื่องเล่ารวมทั้งบทเพลงของฟิลิปปินส์ด้วยเช่นกัน



7. สาธารณรัฐสิงคโปร์ (Republic of Singapore) : ดอกกล้วยไม้แวนด้า
ประเทศสิงคโปร์มี ดอกกล้วยไม้แวนด้า (Vanda Miss Joaquim) เป็นดอกไม้ประจำชาติ โดยดอกกล้วยไม้แวนด้าตั้งชื่อตามผู้ผสมพันธุ์ คือ Miss Agnes Joaquim จัดเป็นดอกกล้วยไม้ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในประเทศสิงคโปร์ มีสีม่วงสดสวยงามและเบ่งบานอยู่ตลอดทั้งปี โดยถูกจัดให้เป็นดอกไม้ประจำชาติสิงคโปร์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981 (พ.ศ. 2524)


 8. ราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand) : ดอกราชพฤกษ์
ดอกไม้ประจำชาติไทย คือ ดอกราชพฤกษ์ (Ratchaphruek) ที่มีสีเหลืองสวยสง่างาม เมื่อเบ่งบานแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่น ถือเป็นสัญลักษณ์ของความมีเกียรติยศศักดิ์ศรี ซึ่งชาวไทยหลายคนรู้จักกันดีในนามของ ดอกคูน โดยมีความเชื่อว่าสีเหลืองอร่ามของดอกราชพฤกษ์คือสีแห่งพระพุทธศาสนาและความรุ่งโรจน์ รวมทั้งยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความสามัคคีปรองดองของคนในชาติอีกด้วย โดยดอกราชพฤกษ์จะเบ่งบานในช่วงเดือนกุมภาพันธ์–พฤษภาคม มีจุดเด่นเวลาเบ่งบานคือการผลัดใบออกจนหมดต้น เหลือไว้เพียงแค่สีเหลืองอร่ามของดอกราชพฤกษ์เท่านั้น


 9. สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (The Socialist Republic of Vietnam) : ดอกบัว
ประเทศเวียดนาม มีดอกไม้ที่คนไทยคุ้นเคยอย่าง ดอกบัว (Lotus) เป็นดอกไม้ประจำชาติ โดยดอกบัวเป็นที่รู้จักกันในนาม “ดอกไม้แห่งรุ่งอรุณ” เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ความผูกพัน และการมองโลกในแง่ดี ดอกบัวจึงมักถูกกล่าวถึงในบทกลอนและเพลงพื้นเมืองของชาวเวียดนามอยู่บ่อยครั้ง


10. สหภาพพม่า (Union of Myanmar) : ดอกประดู่
ดอกไม้ประจำชาติของประเทศพม่า คือ ดอกประดู่ (Paduak) เป็นดอกไม้ที่พบมากในประเทศพม่า มีสีเหลืองทอง ผลิดอกและส่งกลิ่นหอมในฤดูฝนแรก ช่วงเดือนเมษายนซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ประเทศพม่ามีการเฉลิมฉลองปีใหม่ขึ้น ชาวพม่าเชื่อว่าดอกประดู่คือสัญลักษณ์ของความแข็งแรง ความทนทาน และเป็นดอกไม้ที่ขาดไม่ได้ในพิธีทางศาสนาของชาวพม่า


อาเซียน +3
กรอบความร่วมมืออาเซียน+3 (ASEAN+3) เป็นกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับประเทศนอกกลุ่ม 3 ประเทศ คือ จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในระดับอนุภูมิภาคเอเชียตะวันออก และเพื่อนำไปสู่การจัดตั้งชุมชนเอเชียตะวันออก (East Asian Community) โดยให้อาเซียนและกระบวนการต่างๆ ภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน+3 เป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้บรรลุเป้าหมาย เนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปีของการจัดตั้งกรอบความร่วมมืออาเซียนบวกสามเมื่อปี 2007 (พ.ศ.2550) 

ผู้นำของประเทศสมาชิกได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยความร่วมมือเอเชียตะวันออกฉบับที่ 2 (Second Joint Statement on East Asia Cooperation: Building on the Foundations of ASEAN Plus Three Cooperation) พร้อมกับเห็นชอบให้มีการจัดทำแผนดำเนินงานเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน (ASEAN+3 Cooperation Work Plan (2007 – 2017)) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในระยะยาว และผลักดันให้เกิดชุมชนอาเซียน (ASEAN Community) ภายในปี 2015 (พ.ศ.2558) โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมความร่วมมือใน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการเมืองและความมั่นคง ด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงิน ด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศโลก และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ด้านสังคม วัฒนธรรม และการพัฒนา และด้านการส่งเสริมกรอบการดำเนินงานในด้านต่างๆและกลไกต่างๆ ในการติดตามผล โดยแผนความร่วมมือดังกล่าวทั้ง 5 ด้านนี้ ถือเป็นการประสานความร่วมมือและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียนกับประเทศในเอเชียตะวันออกมากยิ่งขึ้น 

อาเซียน +3 ประกอบด้วยสมาชิก 13 ชาติ คือ 10 ชาติสมาชิกอาเซียน รวมกับจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งมีประชากรรวมทั้งสิ้นกว่า 2,000 ล้านคน หรือหนึ่งในสามของประชากรโลก แต่เมื่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เข้าด้วยกัน จะทำให้มีมูลค่าถึง 9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณร้อยละ 16 ของจีดีพีโลก ขณะที่ยอดเงินสำรองต่างประเทศรวมกันจะสูงถึง 3.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐซึ่งมากกว่ากึ่งหนึ่งของเงินสำรองต่างประเทศของโลก โดยตัวเลขทางเศรษฐกิจเหล่านี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอาเซียน+3 จะมีบทบาทเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะพัฒนาเศรษฐกิจให้มีความก้าวหน้าต่อไปในอนาคต 

จากความร่วมมือดังกล่าวประเทศสมาชิกอาเซียน จะได้รับผลประโยชน์จากความร่วมมือในกรอบของเขตการค้าเสรีอาเซียนบวก+3 (FTA Asian +3) มูลค่าประมาณ 62,186 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และประเทศไทยในฐานะสมาชิกอาเซียนจะได้รับประโยชน์มากที่สุด คิดเป็นมูลค่าประมาณ 7,943 ล้านดอลลาร์ ขณะที่อินโดนีเซียมีแนวโน้มจะได้ประโยชน์ใกล้เคียงกัน คือประมาณ 7,884 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนเวียดนามคาดว่าจะได้รับประโยชน์มูลค่าประมาณ 5,293 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

สำหรับการประชุมรัฐมนตรีคลังอาเซียน + 3 สมัยพิเศษ (Special ASEAN+3 Financial Ministers Meeting) ที่ จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2552 ที่ผ่านมา ได้มีการสนับสนุนการใช้เวทีหารือด้านนโยบายและกิจกรรมความร่วมมือต่างๆ ของภูมิภาคอาเซียน อาทิ ข้อริเริ่มเชียงใหม่ (Chiang Mai Initiative: CMI) พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐมนตรีคลังสนับสนุนให้มีกระบวนการเฝ้าระวัง โดยร่วมมือกับสถาบันการเงินในภูมิภาคและสถาบันการเงินระหว่างประเทศ รวมทั้งข้อริเริ่มเชียงใหม่ ที่รัฐมนตรีคลังอาเซียน+3 จำเป็นจะต้องเร่งรัดกระบวนการไป สู่ระดับพหุภาคี เพื่อเป็นกันชนรองรับเศรษฐกิจอ่อนแอในอนาคต 

ทั้งนี้ที่ประชุมมีข้อสรุปว่า จะขยายผลความตกลงริเริ่มเชียงใหม่ในการจัดตั้งกองทุนสำรองระหว่างประเทศร่วมกันในภูมิภาคอาเซียน (Currency Swap) จากเดิม 80,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 120,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4.2 ล้านล้านบาท เบื้องต้นคาดว่า 3 ประเทศนอกกลุ่มอาเซียน คือจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น จะลงเงินสำรองร้อยละ 80 ของวงเงิน รวม หรือ 9.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และกลุ่มประเทศอาเซียนอีกร้อยละ 20 หรือ 2.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งกองทุนดังกล่าวจะมีรูปแบบคล้ายกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund :IMF) แต่ก็ไม่ใช่คู่แข่งของ IMF แต่จะเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งของเอเชียที่จะมีกองทุนระหว่างประเทศเป็นของตนเอง โดยประเทศจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ลงเงินรวมกันประมาณร้อยละ 80 ส่วนอีกร้อยละ 20 ที่เหลือกลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศ จะลงทุนร่วมกัน ขณะที่ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย จะต้องใส่เงินลงทุนมากกว่าอีก 5 ประเทศ คือ บรูไน พม่า ลาว เวียดนาม และกัมพูชา เนื่องจากมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่า โดยคาดว่าจะสามารถเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณารัฐมนตรีคลังอาเซียน+3 วาระปกติที่บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ในเดือนพฤษภาคม 2552 

อาเซียน +6

อาเซียน +6 จัดตั้งขึ้นเพื่ออะไร  
สำหรับ "อาเซียน +6" ก็คือ การรวมกลุ่มกันของ 16 ประเทศ ที่ประกอบไปด้วยกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม, พม่า, กัมพูชา, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, ลาว, สิงคโปร์, ไทย และเวียดนาม รวมกับประเทศที่อยู่นอกอาเซียนอีก 6 ประเทศ คือ จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และอินเดีย ซึ่งหากนับจำนวนประชากรในกลุ่มนี้แล้ว จะพบว่า อาเซียน +6 มีประชากรรวมกันกว่า 3 พันล้านคน หรือคิดเป็น 50% ของประชากรโลกเลยทีเดียว

 ความเป็นมาของ อาเซียน +6  
ที่มาของแนวคิด "อาเซียน +6" นี้ เริ่มขึ้นครั้งแรกในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (AEM-METI) และ AEM+3 (จีน ญี่ปุ่น เกาหลี) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2549 โดยญี่ปุ่นเสนอให้กลุ่มผู้เชี่ยวชาญภาควิชาการ (Track II) ของกลุ่มประเทศ East Asia Summit (EAS ประกอบด้วยอาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย) ทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้ง Comprehensive Economic Partnership in East Asia (CEPEA) ซึ่งเป็น FTA ระหว่างประเทศอาเซียน+6 (จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์)

จากนั้นในการประชุม East Asia Summit ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2550 ณ เมืองเชบู ประเทศฟิลิปปินส์ ที่ประชุมก็มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการศึกษาเรื่องดังกล่าว โดยประเทศญี่ปุ่นได้จัดประชุมร่วมกันระหว่างนักวิชาการซึ่งเป็นตัวแทนของแต่ละประเทศครั้งแรกในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2550 เพื่อศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศอาเซียน+6 (CEPEA) 

ทั้งนี้ กลุ่มนักวิชาการได้ประชุมร่วมกันทั้งหมด 6 ครั้ง ระหว่างปี พ.ศ. 2550 – พ.ศ. 2551 ก่อนจะได้ผลสรุปว่า หากมีการจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศอาเซียน+6 (CEPEA) จะทำให้เกิดความสะดวกในด้านการค้าและการลงทุน ความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ พลังงาน สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีสารสนเทศ 

เมื่อได้ข้อสรุปดังนี้ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญจึงมีมติให้ศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับการจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศอาเซียน+6 (CEPEA) ในระยะที่ 2 โดยเน้นเรื่องความร่วมมือ (Cooperation), การอำนวยความสะดวก (Facilitation) และการเปิดเสรี (Liberalization) ที่จะช่วยสร้างความสามารถของประเทศสมาชิก เพื่อรองรับการเปิดเสรีภายใต้อาเซียน+6 (CEPEA) 

ทั้งนี้ ในการประชุมเมื่อวันที่ 13-16 สิงหาคม พ.ศ. 2552 กลุ่มผู้เชี่ยวชาญก็ได้ข้อสรุปว่า การจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศอาเซียน+6 (CEPEA) ควรให้ความสำคัญเรื่องความร่วมมือเป็นอันดับแรก พร้อมกับเน้นพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในแต่ละประเทศ รวมทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Transfer of Technology) และสร้างความเข้มแข็งให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รวมทั้งควรพิจารณาจัดตั้งกองทุนเอเชียตะวันออก เพื่อช่วยรองรับโครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น และสร้างพื้นฐานสำหรับการพัฒนาต่อไป

ประโยชน์ของการรวมกลุ่มอาเซียน +6  
จากรายงานการศึกษาของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ เมื่อปี พ.ศ. 2551 และ พ.ศ. 2552 พบว่า การจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศอาเซียน+6 (CEPEA) จะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของประเทศเอเชียตะวันออกเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.11% หรือหากวัดเฉพาะประเทศสมาชิกอาเซียนแล้ว ค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ จะเพิ่มขึ้น 3.83% และเมื่อดูเฉพาะของประเทศไทยแล้วจะพบว่า ค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศจะเพิ่มขึ้นถึง 4.78% เลยทีเดียว ในขณะที่ประเทศ+6 มีค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ เพิ่มขึ้น 2.6%

นอกจากนี้ อาเซียน +6 จะช่วยปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศสมาชิก ดังนี้
1. ขยายอุปสงค์ภายในภูมิภาค (Domestic demand within the region)
2. เพิ่มประสิทธิผลทางเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยเน้นความชำนาญในการผลิตสินค้าของแต่ละประเทศ (Product specialization)
3. พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานให้มีการเชื่อมโยงกันระหว่างประเทศสมาชิก โดยเฉพาะเรื่อง Logistics ซึ่งการพัฒนาเหล่านี้จะนำไปสู่การลดช่องว่างของระดับการพัฒนาในแต่ละประเทศสมาชิก รวมถึงการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่แน่นเฟ้นยิ่งขึ้น

83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์

1. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ มนุษย์พลังงาน
เชื่อหรือไม่ว่าร่างกายของคนผลิตกระแสไฟฟ้าได้ คนแต่ละคนจะมีพลังงานเทียบเท่ากับการเปิดหลอดไฟฟ้าขนาด 120 วัตต์ เพราะคนที่กินอาหารเข้าไปปริมาณ 2,500 แคลอรีในแต่ละวันจะให้พลังงานความร้อน 104 แคลอรีต่อชั่วโมง ซึ่งเทียบเท่ากระแสไฟฟ้าที่มีพลังงาน 120 วัตต์
2. กะพริบตา
ตลอดชีวิตของคนเรานั้นเราต้องกะพริบตาถึง 250 ล้านครั้งทีเดียว เพราะเราจะต้องกะพริบตาทุก ๆ 6 วินาที ทำให้กล้ามเนื้อตาเคลื่อนไหวประมาณ 10,000 ครั้งต่อวัน ถ้าเปรียบกับการทำงานของกล้ามเนื้อขาแล้ว จะเท่ากับวิ่งระยะทาง 80 กิโลเมตรต่อวัน
3. สมองบริโภค
เชื่อหรือไม่ว่าตอนแรกเกิดสมองของเราหนักประมาณ 3% ของน้ำหนักตัวเท่านั้น แต่เมื่ออายุได้ประมาณ 15 ปี สมองจะหนักถึง 1.4 กิโลกรัมและจะมีขนาดคงที่ สมองเติบโตได้เพราะใช้พลังงานจากอากาศที่เราหายใจเข้าไป 20% และใช้เลือดหล่อเลี้ยงถึง 15% ของเลือดทั้งหมดในร่างกาย
4. กระบวนการคิด
นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า อิริยาบถต่าง ๆ มีผลต่อการคิดและการตัดสินใจของมนุษย์ การนอนคิดจะทำให้ความคิดกว้างไกล การยืนทำให้ความคิดแคบลงสามารถตัดสินใจได้เร็วขึ้น ส่วนการนั่งเป็นอิริยาบถที่เหมาะกับการตัดสินใจที่ไม่รีบร้อนเท่าใดนัก
ผมงอก โดยปกติ ใน 1 สัปดาห์ผมจะงอกออกมา 2 มิลลิเมตรใน 1 วัน จะมีช่วงที่ผมงอกได้ดี 2 ช่วง คือ ระหว่างเวลา 10.00 ? 11.00 น. และ 16.00 ? 18.00 น. แต่ไม่ต้องเอากระจกไปส่องดูการงอกของเส้นผมหรอกนะ เพราะมันแทบจะมองไม่เห็นเลย
5. เส้นขนแข็งแรง
โดยเฉลี่ยแล้ว คนเราจะมีเส้นขนประมาณ 5 ล้านเส้นทั่วร่างกาย ยกเว้นบริเวณริมฝีปาก ฝ่ามือและฝ่าเท้า เส้นขนที่แข็งแรงที่สุดคือหนวด เชื่อหรือไม่ว่าหนวดแข็งแรงพอ ๆ กับลวดทองแดงที่มีขนาดเท่ากันเลยทีเดียว
6. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ ตาแหลมคม
ตาของเหยี่ยวสามารถมองเห็นแมลงวันที่อยู่ในระยะครึ่งไมล์ได้ ส่วนเสือดาวก็สามารถมองเห็นคนกะพริบตาที่ระยะห่าง 100 หลาได้ ตาของคนก็มีความพิเศษเช่นเดียวกัน เพราะสามารถแยกแยะความแตกต่างของสีได้มากถึง 17,000 สี
7. ตาที่สาม
เชื่อหรือไม่ว่ามนุษย์มีสามตา ตาที่สามนี้ก็คือต่อมไพเนียลซึ่งอยู่ด้านหลังของกะโหลกศีรษะ ภายในต่อมมีสารเคมีที่มีชื่อว่าเซโรโตนินอยู่เป็นจำนวนมาก เชื่อกันว่า สารชนิดนี้ช่วยส่งผลให้มนุษย์มีการคิดอย่างสมเหตุสมผล นักวิทยาศาสตร์จึงเปรียบต่อมนี้ว่าเป็นตาที่สามของมนุษย์
8. ฮัดเช้ย!
เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาทำให้จมูกของเราเกิดการระคายเคือง เราจะจามออกมาโดยอัตโนมัติ ทุกครั้งที่เราจามจะมีน้ำลายฟุ้งกระจายออกมาถึง 100,000 หยด ด้วยอัตราเร็ว 152 ฟุตต่อวินาที
9. ริมฝีปาก
เคยสงสัยกันหรือไม่ครับว่าทำไมริมฝีปากของเราจึงมีสีแดงมากกว่าส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะผิวหนังบริเวณริมฝีปากบางกว่าส่วนอื่น ๆ นั่นเอง จึงทำให้สามารถมองเห็นสีของเลือดใต้ผิวหนังได้
10. ยิ้มแย้ม
ร่างกายของเราประกอบด้วยกล้ามเนื้อประมาณ 650 มัด หากเราหน้าบึ้งจะต้องใช้กล้ามเนื้อประมาณ 400 มัด ในขณะที่การยิ้มใช้กล้ามเนื้อ 15 มัด เท่านั้น และพลังงานที่ใช้ก็น้อยกว่าการขมวดคิ้ว 1 ครั้งเสียอีก เชื่อกันว่าการขมวดคิ้ว 200,000 ครั้ง ทำให้เกิดรอยตีนกา 1 รอย
11. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ ฟันปลา
เชื่อกันว่าเมื่อประมาณ 1 ล้านปีที่แล้ว ฟันของมนุษย์มีลักษณะคล้ายกับฟันปลาเพราะมีการค้นพบฟันลักษณะเดียวกันกับของมนุษย์อยู่ในกรามของปลาฉลามยุคก่อนประวัติศาสตร์ ดังนั้น ฟันของมนุษย์และปลาฉลามจึงมีโครงสร้างพื้นฐานเหมือนกัน แต่ฟันของมนุษย์ได้พัฒนาจนมีรูปร่างเหมือนในปัจจุบัน


12. การทรงตัว
เชื่อหรือไม่ว่าหูมีผลต่อการทรงตัว อวัยวะที่ช่วยให้เราสามารถทรงตัวอยู่ได้คือ เซมิเซอร์คิวลาร์ คาแนล (semicir-cular canel) ในหูซึ่งภายในมีของเหลวที่ไวต่อการกระตุ้นของเหลวนี้จะทำหน้าที่ในการรับรู้สมดุล หากเราหมุนไปรอบ ๆ ตัวเร็ว ๆ หลาย ๆ ครั้ง จะทำให้อวัยวะนี้เกิดความสับสน เราจึงรู้สึกเวียนศีรษะ
13. เสียงกรน
เสียงกรนเป็นเสียงที่สร้างความรำคาญแก่ผู้ได้ยินเพราะดังพอ ๆ กับเสียงของสว่านไฟฟ้าซึ่งดังถึง 70 เดซิเบล
14. พลังปอด
เชื่อหรือไม่ว่าปกติเราจะหายใจเอาอากาศเข้าไปประมาณ 6 ลิตรต่อนาที แต่ระหว่างออกกำลังกายและหลังออกกำลังกายใหม่ ๆ เราอาจหายใจเอาอากาศเข้าไปได้มากถึง 100 ลิตรต่อนาที
15. น้ำหนักวิญญาณ
เชื่อหรือไม่ครับว่าวิญญาณของพวกเราก็มีน้ำหนักด้วยเหมือนกัน นักวิทยาศาสตร์ทดลองชั่งน้ำหนักของวิญญาณโดยชั่งน้ำหนักของคนในขณะที่มีชีวิตอยู่เปรียบเทียบกับน้ำหนักหลังจากเสียชีวิตทันที พบว่าน้ำหนักหายไป 21 กรัม จึงสรุปว่าดวงวิญญาณของพวกเรามีน้ำหนัก 21 กรัมด้วย
16. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ สารฆ่าความเจ็บปวด
เคยสังเกตไหมว่าทำไมบางครั้งนักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บในระหว่างการแข่งขันยังสามารถลงแข่งขันได้จนจบหรือทหารที่ได้รับบาดเจ็บในสนามรบยังคงทนต่อสู้ข้าศึกอยู่ได้ พวกเขาไม่เจ็บกันหรือ นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วครับว่าเมื่อมนุษย์เผชิญสถานการณ์ที่ตึงเครียด สมองจะปล่อยสารออกมายับยั้งความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ ทำให้มนุษย์ต่อสู้กับความเจ็บปวดได้
17. ไม่มีน้ำตา
รู้หรือปล่าวว่าตอนที่เราอายุ 4-5 เดือน เราร้องไห้ไม่มีน้ำตากันหรอกครับ แม้จะร้องเสียงดังแค่ไหนก็ตาม ที่เป็นเช่นนี้เพราะต่อมน้ำตาของคนเราจะพัฒนาขึ้นหลังจากเกิดมาแล้ว 4-5 เดือน ตอนนี้พวกเราคงจะร้องไห้มีน้ำตากันทุกคนแล้วนะครับ
18. หิวเพราะกลิ่น
พอกลิ่นหอมของอาหารลอยมา พวกเราคงเคยรู้สึกหิวตามกลิ่นนั้นไปด้วยใช่ไหมล่ะ ก็กลิ่นอาหารเข้าไปกระตุ้นระบบการย่อยอาหารของเราน่ะสิครับ ทำให้น้ำย่อยในปากและท้องทำงาน เราจึงรู้สึกหิวทั้งๆที่บางครั้งเราไม่ต้องการกินอีกแล้ว
19. กระเพาะแข็งแกร่ง
ในกระเพาะอาหารของเรามีน้ำย่อยที่มีฤทธิ์เป็นกรดสูงมาก จนสามารถละลายสังกะสีได้ แต่กรดเหล่านี้ไม่สามารถละลายผนังกระเพาะของเราได้ เนื่องจากทุกนาทีเซลล์ผนังกระเพาะเก่า 5000 เซลล์ จะถูกเซลล์ใหม่แทนที่และเปลี่ยนเป็นเซลล์ใหม่ทั้งหมดทุกๆ 3 วัน
20. ท้องร้องจ๊อกๆ
เคยได้ยินเสียงท้องร้องเมื่อรู้สึกหิวบ้างไหมครับ สาเหตุที่ท้องร้องก็เพราะสมองซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมความรู้สึกหิวของเรา จะคอยจัดลำดับการทำงานของกระเพาะอาหารและลำไส้ ถ้าในเลือดมีสารอาหารพอเพียง สมองก็จะสั่งให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง แต่เมื่อใดที่มีสารอาหารในเลือดน้อยระบบย่อยอาหารจะทำงานเร็วขึ้นเราจึงได้ยินเสียงท้องร้อง


21. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ ตกใจจนหน้าซีด
เมื่อเราตกใจหน้าจะซีด เนื่องจากเลือดบริเวณแก้มจะไหลย้อนกลับอย่างรวดเร็วเพื่อทำหน้าที่ฉุกเฉิน คือให้สารอาหารและออกซิเจนแก่กล้ามเนื้อส่วนอื่น เนื่องจากร่างกายไม่ได้เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องเผชิญความตกใจ เมื่อเลือดจากแก้มไหลออกไป หน้าเราจึงซีด
22. เขินอาย
เมื่อเรารู้สึกเชินอายหน้าเราก็จะแดง โดยเฉพาะบริเวณแก้มและลำคอ เพราะขณะที่เราเขินอาย เซลล์ประสาทจะถูกกระตุ้นให้ปล่อยสารเคมีที่พลังงานสูงชื่อว่า เปปไตด์ (peptide) ออกมา ทำให้เส้นเลือดที่แก้มและลำคอขยายตัว หน้าของเราจึงแดงมากกว่าปกติ
23. มาจากดวงดาว
ร่างกายของเราประกอบด้วยอะตอมจำนวนมาก อะตอมเหล่านี้มาจากไหน นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มเชื่อว่าอะตอมเกิดมาจากดวงดาวที่ดับแล้วเมื่อ 5000 ล้านปี ก่อนที่จะมีพระอาทิตย์เกิดขึ้น และดวงดวงนี้เคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ก่อนเมื่อโลกเกิดขึ้น เซลล์ของสิ่งมีชีวิตนี้ก็ได้พัฒนาเรื่อยมาจนกลายเป็นคน
24. สารพัดสาร
เชื่อหรือไม่ว่าในร่างกายของเรามีสารอยู่มากมาย เช่น มีฟอสฟอรัสในปริมาณที่มากพอจะทำหัวไม้ขีดไฟ 2,000 ก้าน มีไขมันพอที่จะทำสบู่ได้ 7 ก้อน มีเหล็กมากพอที่จะทำตะปูได้ 1 ตัว มีปูนขาวที่สามารถละลายน้ำแล้วนำไปทาห้องเล็ก ๆ ได้ 1 ห้อง มีซัลเฟอร์ 1 ช้อนชาและโลหะอีกประมาณ 30 กรัม
25. นอนแล้วสูง
การนอนช่วยให้เราสูงขึ้นได้ เพราะเมื่อเรายืนหรือนั่ง แผ่นกระดูกอ่อนที่กระดูกสันหลังจะถูกแรงดึงดูดของโลกกดลง การนอนช่วยให้แรงกดนี้หายไป แผ่นกระดูกอ่อนที่ถูกกดก็จะพองตัว ทำให้เราสูงขึ้นได้อีก 8 มิลลิเมตร แต่เมื่อตื่นมาเราก็จะสูงเท่าเดิม
26. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ พลังกาย
ร่างกายของคนเราแข็งแกร่งมากกว่าที่เราคิดเสียอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการยกน้ำหนัก เช่น ถ้าเรานอนหลับโดยห่มผ้าหนัก 2.5 กิโลกรัม หายใจโดยเฉลี่ย 16 ครั้งต่อนาที และนอนนานประมาณ 8 ชั่วโมง ทรวงอกของเราสามารถยกน้ำหนักได้ถึง 20 ตัน
27. ฉันทำไม่ได้
สิ่งที่ร่างกายของคนเราไม่สามารถทำได้ คือหายใจและกลืนอาหารไปพร้อม ๆ กัน เพราะกระบวนการกลืนจะไปรบกวนกระบวนการหายใจด้วยการปิดกั้นอากาศไม่ให้ผ่านเข้าไปขณะที่อาหารเคลื่อนจากปากไปยังคอหอยและผ่านไปที่กระเพาะอาหาร
28. หัวใจที่รัก
ในช่วงชีวิตของมนุษย์นั้น หัวใจจะสูบฉีดโลหิตประมาณ 500 ล้านลิตรและเต้น 2,000 ล้านครั้ง ดังนั้น ใน 1 วัน หัวใจจะสูบฉีดโลหิตมากกว่า 13,500 ลิตร และเต้น 100,000 ครั้ง แต่ละวันหัวใจจึงต้องทำงานหนักเพื่อให้ได้พลังงานมากพอ เชื่อหรือไม่ว่าพลังงานที่ได้นี้สามารถยกรถยนต์ได้สูงถึง 15 เมตรเลยทีเดียว
29. เรื่องของผิวหนัง
เชื่อหรือไม่ว่าพื้นที่เพียง 1 ตารางนิ้วบนผิวหนังของเรานั้นประกอบไปด้วยเซลล์ถึง 19 ล้านเซลล์ ขน 60 เส้น ต่อมน้ำมัน 90 ต่อม ต่อมเหงื่อ 625 ต่อม เส้นเลือดยาว 19 ฟุต และเซลล์รับความรู้สึก 19,000 เซลล์
30. เซลล์เม็ดเลือด
มีผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่าถ้านำเซลล์เม็ดเลือดของเรามาต่อเป็นสายยาวจะสามารถพันรอบเส้นศูนย์สูตรได้ถึง 4 รอบเลยทีเดียว
31. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ น้ำในร่างกาย
ร่างกายของเรามีสถานะใดตามวิทยาศาสตร์ หลายคนอาจจะคิดว่า มีสถานะเป็นของแข็ง แต่น้อง ๆ รู้หรือไม่ว่าร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำถึง 2 ใน 3 ด้วยเหตุนี้ตลอดชีวิตของคน 1 คนจึงต้องดื่มน้ำเป็นจำนวนมากถึง 70,000 ลิตร


32. ความสำคัญของเกลือแร่
เกลือแร่เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง หากนำเกลือแร่ออกจากกระดูกโดยนำกระดูกไปแช่ในน้ำกรด เกลือแร่จะละลายออกมาจนสามารถนำกระดูกนั้นมาผูกให้เป็นปมได้
33. หนาวสั่น
อาการหนาวสั่นเป็นอาการที่ร่างกายแสดงออกมาเพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม หลังจากที่ได้รับความเย็นมากเกินไป เพราะความเย็นจะทำให้กระบวนการต่าง ๆ ในร่างกายทำงานช้าลง และเป็นอันตรายได้หากอุณหภูมิลดต่ำลงมาก ๆ ดังนั้น กล้ามเนื้อจึงผลิตความร้อนด้วยการทำให้กล้ามเนื้อหดตัวไปมาอย่างรวดเร็ว
34. สูงและต่ำ
ตอนกลางวัน อุณหภูมิในร่างกายของเราอาจสูงขึ้นได้มาก ๆ หากเรารับประทานอาหารมื้อใหญ่ อยู่ในที่อากาศร้อน หรือออกกำลังกายอย่างหนัก แต่ตอนกลางคืน อุณหภูมิในร่างกายของเราจะค่อย ๆ ลดลงจนต่ำที่สุดเมื่อเรานอนหลับเพื่อเป็นการรักษาสมดุล
35. ลูกผู้ชาย
การที่ผู้ชายเชื่อว่าลูกผู้ชายต้องไม่หลั่งน้ำตานั้น ส่งผลกระทบให้ผู้ชายเป็นโรคเครียดได้ง่ายกว่าผู้หญิง เพราะมีโอกาสปลดปล่อยอารมณ์ที่ถูกกดดันได้น้อย รู้อย่างนี้แล้ว ใครที่กำลังเครียดก็ลองหาโอกาสปลดปล่อยอารมณ์บ้างก็ดีนะครับ แต่ไม่ใช่เอาแต่นั่งร้องไห้อยู่ล่ะ การออกกำลังกายก็สามารถช่วยคลายเครียดได้เช่นกัน
36. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ตัวยารักษาโรค
การฉีดยาเป็นวิธีการรักษาโรคอีกวิธีหนึ่งที่แพร่หลาย ทราบหรือไม่ว่าแพทย์ได้ตัวยามาจากไหน ในยาฉีดนั้นมีส่วนประกอบของแบคทีเรียที่ทำให้มีฤทธิ์อ่อนลง ซึ่งได้มาจากเชื้อโรคของผู้ป่วยรายอื่นที่ป่วยเป็นโรคเดียวกับเรา นอกจากนำไปทำเป็นยาฉีดแล้ว เชื้อโรคเหล้านั้นยังสามารถนำไปทำเป็นวัคซีนป้องกันโรคได้อีกด้วย โดยวัคซีนจะเข้าไปสร้างภูมิคุ้มกันโรคชนิดนั้น ๆ ในร่างกาย
37. หาวนอน
อาการง่วงเหงาหาวนอนเกิดจากการที่เรารู้สึกเหนื่อยหรืออ่อนเพลีย ระบบทางเดินหายใจของเราจึงทำงานช้าลงเป็นผลให้กล้ามเนื้อคอหอยปิดโดยอัตโนมัติ ทำให้ร่างกายต้องการอากาศเพิ่มขึ้น เราจึงต้องหาวเพื่อเอาอากาศเข้าไปใช้ในกระบวนการหายใจ
38. ใบหน้า
วันหนึ่ง ๆ เราอาจมีอารมณ์และความรู้สึกเหล่านั้นถูกถ่ายทอดออกมาบ่อยครั้งทางใบหน้า เชื่อหรือไม่ว่ากล้ามเนื้อทั้งที่เป็นวงกลมและเป็นเส้นบนใบหน้าสามารถแสดงอารมณ์ที่หลากหลายได้มากกว่า 1,000 รูปแบบ
39. นอนหลับ
ขณะนอนหลับเราสามารถเรียนรู้ได้หรือไม่ ในสมัยก่อนนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามนุษย์ไม่สามารถเรียนรู้ในขณะนอนหลับได้ แต่จากการทดลองอย่างละเอียดของนักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังพบว่า มนุษย์จะไม่สามารถเรียนรู้ได้ในขณะที่นอนหลับสนิท แต่จะสามารถเรียนรู้ได้ในขณะที่อยู่ในช่วงสะลึมสะลือ
40. ล้มตัวลงนอน
เชื่อหรือไม่ว่า ในบรรดาสิ่งมีชีวิต มีสัตว์เพียง 2-3 ชนิดเท่านั้น ที่นอนหลับโดยเอนหลังแนบกับพื้น และสัตว์ชนิดหนึ่งที่สามารถทำเช่นนี้ได้ก็คือมนุษย์
41. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์น้ำหนักลด
ไม่ว่าเราจะมีน้ำหนักมากน้อยเพียงใดก็ตาม น้ำหนักของเราจะสามารถลดลงได้ 300 กรัม ทุกวันในขณะที่เรานอนหลับแต่อย่าเพิ่งดีใจไป เพราะทันทีที่ตื่นขึ้นมา น้ำหนักของเราก็จะเท่าเดิม


42. อาณาจักรแห่งความฝัน
นักวิทยาศาสตร์พบว่า ถ้าวันหนึ่ง ๆ เรานอนหลับประมาณ 8 ชั่วโมง เราจะฝัน 3-5 ครั้งต่อคืน โดยช่วงความฝันแต่ละครั้งใช้เวลานานประมาณ 10-30 นาที และถ้าเราถูกปลุกขึ้นมาในระหว่างที่กำลังฝันอยู่ เราอาจจะจำความฝันนั้นได้หรือไม่ได้ก็ได้
43. ความฝัน
เชื่อหรือไม่ว่า ความฝันช่วยทำให้จิตใจของเราสดชื่นเบิกบานได้ ไม่ว่าเราจะจำความฝันนั้นได้หรือไม่ก็ตาม เพราะความฝันจะแสดงถึงสิ่งที่เราอยากทำเมื่อตื่น แต่เราไม่สามารถทำได้ด้วยเหตุผลนานาประการ
44. เวลาของความฝัน
ผู้เชี่ยวชาญแสดงทัศนะเกี่ยวกับเวลาในช่วงของความฝันไว้ว่า เวลาที่เราตื่นอยู่ประสาทความรู้สึกเกี่ยวกับเวลาของเราจะเป็นแนวตั้ง ดังนั้น เราจึงรับรู้แต่ขณะปัจจุบันเท่านั้น แต่เมื่อเราหลับมันจะกลายเป็นเส้นแนวนอนทำให้เราสามารถเดินทางไปในอดีตและอนาคตได้
45. สร้างความฝัน
ถ้าอยากให้ความฝันสวยงามลองงดดื่มเครื่องดื่มทุกชนิดประมาณ 1-2 ชั่วโมงก่อนเข้านอนสิครับ เพราะผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าจะทำให้ความฝันยิ่งใหญ่ และถ้าใครเห็นความฝันของตนเองเป็นสีต่าง ๆ ละก็แสดงว่าเป็นคนที่ไวต่อการกระตุ้นต่าง ๆ รอบตัวมากทีเดียว
46. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์จมูกของมด
ใครรู้บ้างว่ามดใช้อะไรในการดมกลิ่น คำตอบก็คือใช้เท้านั่นเอง การใช้เท้าดมกลิ่นช่วยให้มันสามารถตามกลิ่นที่เพื่อนของมันทิ้งไว้ตามทางได้ นอกจากนี้มันยังสามารถใช้ข้อต่อที่หนวดรับกลิ่นได้อีกด้วย
47. นายช่างใหญ่
บีเวอร์เป็นสัตว์ที่ชอบสร้างเขื่อนและบ้านของมันมาก มันจะคาบกิ่งไม้และกินไม้เป็นอาหาร ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะถ้าไม่ได้กัดไม้ทุกวัน ฟันของมันก็จะงอกและยาวขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้มันกินอาหารไม่ได้และอดตายในที่สุด
48. อูฐลื่น
อูฐเป็นสัตว์ที่ขาแต่ละข้างประกอบด้วยนิ้วขนาดใหญ่ 2 นิ้ว ปกคลุมด้วยแผ่นรองเท้าที่หนาและเหนียวทั้งยังมีแผ่นหนังบาง ๆ เชื่อมนิ้วเท้าให้ติดกัน ทำให้เท้าอูฐแข็งแรงเหมาะสำหรับเดินในทะเลทราย แต่หากจับอูฐมาอยู่ในโคลนละก็ เท้าแบบนี้ก็ไร้ประโยชน์เพราะจะทำให้อูฐลื่นไถลได้ง่าย
49. หางเก็บอาหาร
มีสัตว์อยู่หลายชนิดที่มีหางและหางของมันก็ใช้ประโยชน์ได้แตกต่างกันไป อย่างเช่น แกะพันธุ์หนึ่งที่ใช้หางของมันทำหน้าที่เก็บหญ้าซึ่งเป็นอาหารของมันไว้ เมื่อหญ้าขาดแคลน หญ้าที่ถูกสะสมไว้ที่หางก็จะเปลี่ยนเป็นไขมันเพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย
50. หูหนวกเต้นระบำ
หากใครเคยชมภาพยนตร์อินเดียคงจะเคยเห็นงูที่เต้นระบำเมื่อได้ยินเสียงปี่ จริง ๆ แล้วมันไม่ได้เต้นระบำเพราะเสียงปี่หรอกครับ งูเป็นสัตว์ที่หูหนวกจึงไม่ได้ยินเสียงปี่ แต่ที่มันเต้นส่ายไปส่ายมาก็เพราะจังหวะการเคลื่อนไหวของหมองูต่างหาก ถ้าลองใช้ไม้แทนปี่ งูก็ยังคงเต้นระบำได้เหมือนกัน
51. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ สุนัขน้ำร้อน
สุนัขเป็นสัตว์ที่คนนิยมเลี้ยงกันโดยทั่วไป เพราะนอกจากจะใช้เฝ้าบ้านแล้ว สุนัขยังทำหน้าที่ได้หลายอย่าง นานมาแล้วชาวอินเดียนแอซเทคนำสุนัขพันธุ์เม็กซิโกซึ่งตัวเล็กนิดเดียวและมีขนสั้นบางมาใช้แทนกระเป๋าน้ำร้อน เพื่อสร้างความอบอุ่นแก่เท้าเจ้าของเมื่ออากาศหนาว


52. ช้างนักกิน
ช้างแอฟริกามีขนาดใหญ่มาก หนักถึง 7 ตัน ที่ตัวใหญ่ขนาดนี้เพราะมันใช้เวลาในการกินประมาณ 18-20 ชั่วโมงต่อหนึ่งวัน โดยกินพืชผักประมาณวันละ 350 กิโลกรัมและกินน้ำ 90 ลิตร
53. กินทางตา
โดยปกติสัตว์จะกินอาหารทางปาก แต่สำหรับคางคกและกบแล้ว พวกมันจะกินอาหารทางตา เมื่อกินอาหารมันจะปิดตาแน่น ดันลูกตาที่แข็งให้ชนเพดานปากทำให้เพดานปากถูกกดลงมาแนบกับลิ้นแล้วดันอาหารลงสู่กระเพาะอาหาร นอกจากนี้มันยังดื่มน้ำโดยการดูดซึมน้ำผ่านทางผิวหนังด้วย
54. ปลิงป้องกันตัว
ปลิงทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกมีวิธีป้องกันตัวเองที่แปลกคือ เมื่อถูกทำร้ายมันจะหดตัวทันทีและจะดันอวัยวะภายในของมันออกมา แต่มันก็ยังไม่ตาย อวัยวะเหล่านั้นจะเป็นอาหารของผู้ที่ทำร้ายมัน แล้วมันจะค่อย ๆ หลบหนีไป จากนั้น 2 -3 สัปดาห์อวัยวะภายในของมันก็จะงอกใหม่
55. ตาเคลื่อนที่
ปลาลิ้นหมาไม่ได้มีตาเดียวอย่างที่พวกเราเห็นกัน ตอนแรกที่มันเกิดมามันจะมี 2 ตา แต่เมื่ออายุมากขึ้น ตาของมันจะย้ายตำแหน่งมารวมกัน โดยเคลื่อนที่ไปรวมกับตาอีกข้างหนึ่งซึ่งอยู่บนหัว
56. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ ระเบิดควัน
ปลาหมึกยักษ์มีวิธีการป้องกันตัวคล้ายการสร้างระเบิดควันของทหาร เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู มันจะพ่นหมึกดำในถุงด้านหลังลำตัวออกมาทำให้น้ำบริเวณรอบ ๆ ขุ่นดำ แล้วมันจะรีบหนีไป นักวิทยาศาสตร์พบว่ามันสามารถเปลี่ยนสีหมึกของมันให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ด้วย เช่น สีแดง สีเหลือง สีเทา เป็นต้น
57. กบหดตัว
กบพาราดอกซิคัล (Paradoxical) ในอเมริกาใต้มีความพิเศษคือยิ่งมันเจริญเติบโตขึ้นตัวก็ยิ่งเล็กลง เมื่อเป็นลูกอ๊อดมันมีลำตัวยาวถึง 10 นิ้ว แต่เมื่อโตเป็นกบลำตัวจะหดลงจนเหลือขนาดไม่เกิน 3 นิ้วเท่านั้น
58. หนอนกระสือ
หนอนกระสือตัวเมียจะมีอวัยวะที่เรืองแสงอยู่บริเวณใต้ท้องซึ่งใช้ส่งสัญญาณไปยังปีกของตัวผู้ที่บินอยู่ด้านบน หนอนกระสือตัวเมียสามารถควบคุมการเปล่งแสงได้ โดยจะใช้แสงต่อเมื่อต้องการดึงดูดตัวผู้เท่านั้น
59. แสงนำทาง
รู้ไหมทำไมผีเสื้อกลางคืนจึงชอบบินเข้าหาแสงไฟในตอนกลางคืน เพราะปกติผีเสื้อกลางคืนจะใช้แสงจันทร์นำทาง แต่แสงอื่นทำให้มันสับสนและประสาททางด้านทิศทางเสียไป ดังนั้น มันจึงพยายามปรับแสงจันทร์ปลอมให้ทำมุมเดียวกันกับแสงจันทร์จริง ๆ โดยการบินเป็นวงกลมเข้ามาใกล้แสงนั้นมากขึ้น
60. เครื่องขยายเสียง
จิ้งหรีดตัวผู้จะใช้เสียงเพลงซึ่งเกิดจากขาหน้าเสียดสีกันการดึงดูดตัวเมีย แต่จะไม่ดังนัก มันจึงสร้างเครื่องขยายเสียงชนิดพิเศษ โดยการขุดรังใต้ดินให้มีอุโมงค์ทางเข้าสองทางแล้วก็ยืนส่งเสียงไพเราะอยู่ทางอุโมงค์ด้านหนึ่ง แต่ที่แปลกอีกอย่างหนึ่งก็คือ หูที่ไวต่อเสียงของมันไม่ได้อยู่ที่หัวแต่ที่อยู่ที่ขา
61. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ สัตว์มีเหงื่อหรือไม่?
สุนัขก็มีเหงื่อครับ แต่เหงื่อของมันจะออกบริเวณฝ่าเท้า นอกจากนี้สัตว์อื่น ๆ เช่น วัว จะมีเหงื่อออกทางจมูก ส่วนเหงื่อของฮิปโปโปเตมัสจะออกมาจากทุกส่วนของร่างกายและจะเป็นเหงื่อสีแดง ลองสังเกตนะครับว่าสัตว์อื่น ๆ มีเหงื่อออกที่ส่วนใดของร่างกาย


62. หนึ่งไม่มีสอง
คนเรามีลายนิ้วมือไม่เหมือนกัน ม้าลายแต่ละตัวก็มีแถบลายเฉพาะที่ซึ่งจะไม่ซ้ำกับม้าลายตัวอื่น ๆ เช่นกัน
63. หนูนักร้อง
หนูเป็นสัตว์ที่สามารถร้องเพลงได้ แต่เสียงร้องของมันจะเป็นเสียงซูเปอร์โซนิค (Supersonic) ซึ่งมีลักษณะเป็นเสียงสูงและรัว ทำให้เราไม่ได้ยินเสียงเพลงของมัน แต่ถ้ามันลดระดับเสียงให้ต่ำลงจนถึงระดับปกติที่เราสามารถได้ยิน เราก็จะได้ยินเสียงเพลงจากหนูได้
64. สัตว์ปากกว้าง
สัตว์ที่สามารถอ้าปากได้กว้างที่สุดคืองูเหลือมเรติคูเลเตด (Reticulated python) มันสามารถยืดตัวได้ถึง 10 เมตร และอ้าปากกว้างจนกลืนกินสัตว์ที่มีน้ำหนัก 55 กิโลกรัม จึงไม่แปลกที่จะมีคนพบสัตว์ใหญ่ ๆ อย่างเสือดาวในท้องของมัน
65. ไม่เอาไมโครโฟน
ไซเมียง (Simiang) เป็นสัตว์บกที่มีถุงลมขนาดใหญ่ จึงตะโกนได้เสียงดังกว่าสัตว์อื่น ๆ มันสามารถตะโกนให้สัตว์ที่อยู่ห่างออกไปถึง 8 กิโลเมตรได้ยินได้ ส่วนสัตว์น้ำที่สามารถตะโกนได้เสียงดังที่สุดคือ ปลาวาฬรอร์ควอล (Rorqual whale) มันสามารถร้องเพลงด้วยความถี่ 20 เฮิรตซ์ ให้ได้ยินไปไกลถึง 150 กิโลเมตรเลยทีเดียว
66. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ นักแม่นธนู
ปลาเสือมีวิธีจับเหยื่อที่คล้ายกับการยิงธนู โดยมันจะพ่นน้ำไปยังแมลงที่เกาะอยู่บนต้นพืชเหนือน้ำ ทำให้แมลงตกลงในน้ำ จากนั้นก็จะตรงเข้าไปฮุบแมลงนั้นไว้ทันที ปลาเสือสามารถพ่นน้ำใส่เหยื่อของมันในระยะ 3 เมตรได้อย่างแม่นยำ
67. อาวุธของทากทะเล
ทากทะเลไม่มีเปลือกห่อหุ้มร่างกาย ดังนั้น มันจึงป้องกันตัวโดยการกินเซลล์เข็มพิษของแมงกะพรุนเข้าไปเพื่อใช้เป็นอาวุธ เข็มพิษนี้จะไม่ถูกย่อยไปพร้อมกับอาหาร แต่จะถูกส่งไปเก็บไว้ที่ใต้ผิวหนังบริเวณด้านหลัง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูมันก็จะป้องกันตัวด้วยการปล่อยเข็มพิษออกมา
68. ปลาฉลามว่ายน้ำ
ถ้าเรามีโอกาสได้เฝ้าดูปลาฉลามอย่างใกล้ชิดก็จะพบว่าปลาฉลามต้องว่ายน้ำตลอดเวลา หากหยุดว่ายน้ำมันจะตาย เพราะปลาชนิดอื่น ๆ จะมีถุงลมทำให้หายใจได้แม้ไม่เคลื่อนที่ แต่ปลาฉลามไม่มีถุงลม ดังนั้น ถ้ามันหยุดว่ายน้ำก็จะทำให้ไม่มีออกซิเจนไหลผ่านเหงือกจึงไม่มีออกซิเจนใช้ในการหายใจ
69. สุดยอดตัวอ่อน
ตัวอ่อนของสัตว์ที่กินเก่งที่สุดในโลกคือตัวอ่อนของผีเสื้อกลางคืนในอเมริกาเหนือ เนื่องจากมันสามารถกินอาหารที่มีน้ำหนักมากถึง 86,000 เท่าของน้ำหนักตัวภายในเวลา 48 ชั่วโมงแรกที่มันเกิดมา
70. หมอกเพื่อชีวิต
ด้วงแอฟริกาใต้ที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายนามิบมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินหมอก ปกติมันจะอาศัยอยู่ใต้เนินทรายซึ่งอุณหภูมิค่อนข้างคงที่ แต่เมื่อมันกระหายน้ำ มันก็จะบินออกมาเกาะยอดเนินแล้วปล่อยให้ลดพัดพาหมอกมาจับบนตัวของมัน เมื่อหมอกเกิดการควบแน่นจนกลายเป็นหยดน้ำมันก็จะกินน้ำนั้นแก้กระหาย
71. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ เพลงรัก
ปูทรอปิคัล ฟีดเดลอร์ (Tropical Fiddler) เป็นปูที่มีสีสันสวยงาม ก้ามข้างซ้ายของปูตัวผู้จะมีขนาดใหญ่สะดุดตา ซึ่งมันจะใช้ดึงดูดตัวเมียในช่วงฤดูผสมพันธุ์ โดยจะขยับก้ามไปข้างหลังและข้างหน้าสลับกันคล้ายการสีไวโอลิน แม้จะไม่มีเสียงออกมา แต่ก็สร้างความประทับใจและดึงดูดตัวเมียให้เข้าไปหามันอย่างรวดเร็วได้


72. เวลาของพืช
คน สัตว์ และพืชเป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน แต่สิ่งที่คนและสัตว์ต่างจากพืชก็คือ การเจริญเติบโต คนและสัตว์จะมีช่วงที่เจริญเติบโตและหยุดโตเมื่อถึงอีกช่วงอายุหนึ่ง แต่สำหรับพืชแล้ว มันจะยังคงเจริญเติบโตไปเรื่อย ๆ และจะหยุดก็ต่อเมื่อมันตายเท่านั้น
73. ราโตเร็ว
ราบราซิเลียน (Brazillian fungus) เป็นพืชที่โตเร็วที่สุดมันจะงอกจากพื้นดินด้วยอัตราเร็ว 5 มิลลิเมตรต่อนาที และเจริญเติบโตเต็มที่ภายใน 20 นาที น้ำจะช่วยให้มันเจริญเติบโตได้ดีเป็นพิเศษ และเรายังสามารถได้เยินเสียงปริแตกเนื่องจากอาการบวมน้ำและเห็นน้ำไหลออกมาได้ด้วย
74. ต้นไม้พูดได้
นักวิทยาศาสตร์พบว่าต้นไม้สามารถสื่อสารกันได้หากอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน พืชมีความรู้สึกชอบและไม่ชอบเช่นเดียวกับคน ดังนั้น หากมีต้นไม้ที่มันไม่ชอบขึ้นบริเวณนั้น มันก็จะปล่อยสารฟีโรโมน (Pheromones) เพื่อสื่อสารให้ต้นอื่นรับรู้ สารนี้จะไปกระตุ้นให้พืชที่มันชอบเจริญเติบโตและจะทำลายพืชที่มันไม่ชอบ
75. พืชป้องกันตัว
มีพืชอยู่หลายชนิดที่จะป้องกันตัวเองเมื่อถูกแมลงรบกวน โดยภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากถูกรบกวน พืชจะปล่อยสารที่มีชื่อว่าเทอร์เพนและแทนนิน (Terpene, Tannin) ที่บริเวณใบโปรตีนในใบจะเปลี่ยนเป็นโปรตีนที่ย่อยยากขึ้น แมลงที่บุกรุกก็จะขาดโปรตีน พืชก็จะรอดพ้นจากการถูกแมลงรบกวน
76. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ ชีวิตในความตาย
ต้นปาล์มทาลิพอต (Talipot) เป็นไม้ดอกที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีช่วงชีวิตประมาณ 70 ปี แต่ตลอดชีวิตของมันจะออกดอกเพียงครั้งเดียว ดอกสูงถึง 6 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เมตร กว่าเมล็ดทั้งหมดจะสุกเป็นผลใช้เวลาประมาณ 1 ปี ต่อจากนั้นเมื่อมีการผสมพันธุ์อีกครั้งมันก็จะตาย
77. เรื่องบังเอิญ
เมื่อประมาณพันกว่าปีมาแล้ว คนดูแลฝูงแกะชาวอบิสซีเนียค้นพบกาแฟโดยบังเอิญ เพราะวันหนึ่งเขาได้กลิ่นหอมของพุ่มไม้ป่าที่ถูกเผาจึงลองชิมดูและเกิดติดใจในรสชาติ เขาจึงนำไปต้มในน้ำเดือด ตั้งแต่นั้นมากาแฟจึงกลายเป็นสิ่งที่นิยมบริโภค
78. ต้นสารพัดประโยชน์
ปาล์มเป็นต้นไม้สารพัดประโยชน์คล้ายต้นกล้วยเพราะทุกส่วนนำไปใช้ประโยชน์ได้ตั้งแต่นำใบมามุงหลังคา ก้านนำมาทำเป็นเชือก ผล ลำต้น และใบอ่อนนำมาทำเป็นอาหาร เปลือกใช้ทำผ้าและกระดาษ เมล็ดนำมาทำกระดุม นอกจากนี้ยางของปาล์มยังสามารถใช้ทำไวน์ได้อีกด้วย
79. ไฟช่วยชีวิต
สนเป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่ต้องใช้ไฟป่าในการแพร่ขยายพันธุ์ ความร้อนของไฟจะทำให้ผลของสนปริแตก เมล็ดก็จะกระเด็นไปตกบริเวณอื่นแล้วเกิดเป็นสนต้นใหม่ แต่ถึงอย่างไรป่าสนที่ถูกไฟไหม้ก็จะต้องถูกทำลายไปเพื่อแลกกับป่าสนที่จะเกิดขึ้นใหม่
80. บานวันละดอก
ต้นหญ้าบลูอาย มีก้านดอกไม่แข็งแรงพอที่จะรองรับน้ำหนักของดอกที่บานมากกว่า 1 ดอก ดังนั้น ธรรมชาติจึงสร้างให้ดอกของมันบานในตอนเช้าแล้วเหี่ยวแห้งตายในตอนกลางคืน เพื่อจะได้มีดอกไม้ดอกใหม่ผลิบานในวันรุ่งขึ้น


81. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ เพราะแสงอาทิตย์
ต้นอินเดียนเทเลกราฟ (Indian Telegraph) สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตนเอง เมื่ออยู่ท่ามกลางแสงแดดจ้า ใบของมันจะเคลื่อนที่ขึ้นลงและจากข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่ง แล้วจะหยุดเคลื่อนไหว หลังจากนั้นอีก 2-3 นาทีมันก็จะเคลื่อนไหวแบบนี้อีกครั้ง
82. สมองพืช
เชื่อหรือไม่ว่าพืชสามารถผลิตสารชนิดเดียวกับที่สมองของคนและสัตว์ผลิตได้ ต้นฝิ่นสามารถผลิตสารที่คล้ายกับเอนโดฟีน (Endorphin) ซึ่งถูกปล่อยออกมาจากสมองของคน นอกจากนี้ต้นโจโจบายังสามารถให้น้ำมันซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายสารที่ได้จากปลาวาฬเสปิร์มอีกด้วย
83. ต้นไผ่พิศวง
ในหนึ่งวัน ต้นไผ่ฮัมเบิลสามารถเจริญเติบโตได้สูงกว่า 40 เซนติเมตร คนจีนโบราณจะใช้ต้นไผ่นี้เป็นเครื่องทรมาน โดยผู้เคราะห์ร้ายจะถูกนำมามัดติดไว้ที่ต้นไผ่โดยมีหน่ออ่อนของมันแทงอยู่ที่หลัง ภายใน 2-3 ชั่วโมง หน่อไผ่ก็จะแทงทะลุหลังของผู้เคราะห์ร้าย

10 เรื่องที่น่ารู้เกี่ยวกับฝรั่งเศส

1. ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่มีคนใช้พูดเป็นภาษาแม่และภาษาที่สองถึง 128 ล้านคน โดยเฉพาะในประเทศฝรั่งเศส แคนาดา(รัฐควิเบก) สวิซเซอแลนด์ เบลเยี่ยม นอกจากนี้ทางฝั่งแอฟริกาก็มีประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสด้วยเช่นกัน
2. ฝรั่งเศสเป็นมหาอำนาจทางด้านเศรษฐกิจอันดับ 4 ของโลก นอกจากนี้ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นแม่แบบในกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งถ้าน้องๆสนใจที่จะเรียนต่อในด้านนิติศาสตร์แล้วละก็การมีความรู้ในด้านภาษาฝรั่งเศสไว้นั้น นับว่าได้เปรียบคนอื่นอยู่มากๆเลยทีเดียว
3. ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทษที่มีชื่อเสียงทางด้านวัฒนธรรม ทั้งด้านอาหาร แฟชั่น ศิลปกรรม ภาพยนตร์และวรรณกรรมต่างๆมากมาย เพราะฉะนั้นแล้ว น้องๆที่มีความสนใจทางด้านศิลปะวัฒนธรรม ก็ไม่ควรพลาดที่จะมีความรู้ด้านภาษาฝรั่งเศสไว้ประดับสมอง
4. ครั้งหนึ่งในชีวิตมนุษย์ ถ้ามีโอกาสได้ท่องเที่ยวในต่างประเทศ รับรองว่าหนึ่งในประเทศที่น้องใฝ่ฝันต้องมีประเทศฝรั่งเศสอยู่แน่นอน เพราะประเทศฝรั่งเศสมีสถานที่ที่น่าท่องเที่ยวมากมาย เช่น กรุงปารีส พระราชวังแวร์ซาย พิพิธภัณฑ์ลูฟ และสถานที่น่าสนใจในแคว้นต่างๆอีกมากมาย
5. รัฐบาลฝรั่งเศสมีนโยบายมอบทุนการศึกษาในระดับปริญญาโท หรือที่เรียกกันว่า ทุนไอเฟล ให้นักเรียนต่างชาติรวมถึงนักเรียนไทย ได้มีโอกาสไปศึกษาต่อในมหาลัยของประเทศฝรั่งเศส ในสาขาวิชาต่างๆมากมาย เช่น วิทยาศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และบริหารธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีทุน Haif scholarships ซึ่งเป็นทุนศึกษาในระดับปริญญาเอกอีกด้วย
6. ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาทางการขององค์กรณ์ระหว่างประเทศที่สำคัญหลายองค์กรณ์ เช่น สหประชาชาติ สหภาพยุโรป องค์การยูเนสโก้ และยังเป็นภาษาที่ใช้ใน 3 เมืองสำคัญของทวีปยุโรป นั่นคือ Strasbourg , Bruxells , Luxemburg
7. ภาษาฝรั่งเศสมีความสำคัญเป็นอันดับ 3 ในโลกอินเตอร์เน็ต ดังนั้นการที่เรารู้ภาษาฝรั่งเศสก็จะทำให้เราสามารถรับรู้และเข้าใจข่าวสารของหลายๆประเทศในโลก
8. ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่ง่ายต่อการเรียนรู้ ชาวยุโรปส่วนใหญ่จึงนิยมเรียนภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่ 2 รองจากภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้นไม่ว่าน้องจะหลงอยู่ในประเทศใดในนยุโรป ถ้าน้องสามารถสื่อสารภาษาฝรั่งเศสได้ โอกาสที่น้องจะเอาตัวรอดได้มีสูงมาก
9. การเข้าใจภาษาฝรั่งเศสสามารถช่วยต่อยอดในการเรียนภาษาอื่นๆ เพราะภาษาฝรั่งเศสทีรากศัพท์มาจากภาษาละติน และกว่า 50% ของภาษาอังกฤษในปัจจุบัน มีส่วนคล้ายกับภาษาฝรั่งเศส นับว่าเป็นโอกาสดีของเด็กไทยที่จะเรียนรู้ภาษาฝรั่งเศสได้ง่ายขึ้น
10. ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่ไพเราะมาก จนถึงมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ดังนั้นภาษาฝรั่งเศสจึงถูกเรียกว่าเป็นภาษาแห่งความรักกันเลยทีเดียว

8 สิ่งเล็กๆน่ารู้ ที่เรียกว่า ประเทศฝรั่งเศส

1,ฝรั่งเศสไม่นิยมการให้ทิป    
ถ้าน้องๆ คนไหนที่คิดจะไปเรียนที่ฝรั่งเศสและทำงานพิเศษโดยหวังจะได้ทิปเยอะๆ นั้น ขอบอกว่าเป็นเรื่องยากเลยค่ะ เพราะที่ฝรั่งเศสเค้าไม่นิยมให้ทิปกัน (บางคนมองว่าเป็นเรื่องแปลกด้วยซ้ำ) ค่าบริการต่างๆ ถูกรวมไว้ในบิลแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องให้ทิปเพิ่มแต่ถ้าพนักงานบริการดีมากๆๆๆๆๆ อาจจะได้ทิปเล็กๆ น้อยๆ ซัก 1-2 ยูโรก็ได้


2.ต้นกำเนิดของเครป    
 "เครป" เป็นของหวาน (หรือคาว?) เมนูโปรดของน้องๆ หลายคน แต่รู้มั้ยว่า ต้นกำเนิดที่แท้จริงของเครปเกิดที่ฝรั่งเศสนี่แหละค่ะ หลายๆ คนมักเข้าใจผิดว่าเครปมีต้นกำเนิดที่ญี่ปุ่น เพราะตามร้านต่างๆ มักติดป้ายว่า "เครปญี่ปุ่น" 5555โดยเมืองที่เป็นต้นกำเนิดแบบออริจินัลแท้ๆ อยู่ที่แคว้นชื่อ "Bretagne" เป็นแคว้นทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส โดยในอดีตนั้น คนฝรั่งเศสจะนิยมทานเครปกับน้ำผลไม้ค่ะ แต่ปัจจุบันนิยมทานกับผลไม้สดไม่ก็ช็อกโกแลต


3.ร้านขายยาที่ขาย "ยา"    
ถ้าให้ลองนึกภาพร้านขายยาในปัจจุบัน นอกจากจะขายยาแล้ว แทบทุกร้านก็ยังมีขายเครื่องดื่ม หรือบางร้านใหญ่ๆ ก็มีเครื่องสำอาง มาสคาร่า หรือของใช้อื่นๆ ทิชชู่ หวี กระจก สารพัดจะหามาขาย แต่ร้านขายยาในฝรั่งเศสนั้นจะขายเฉพาะ "ยา" เท่านั้นค่ะซึ่งร้านขายยานั้นสามารถหาได้ง่ายตามมุมถนนทั่วไป เพราะคนฝรั่งเศสเค้าจริงจังเรื่องสุขภาพและการใช้ยามากกกก เคยมีการสำรวจพบว่า คนฝรั่งเศสเป็นชาติที่เสียเงินใช้จ่ายในการซื้อยามากที่สุดในยุโรป


4.จริงจังเรื่องสุขภาพ    
องค์การอนามัยโลก (WHO) เคยจัดอันดับให้ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีระบบดูแลสุขภาพประชาชนที่เยี่ยมที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง โดยวัดได้จากการที่ฝรั่งเศสมีอัตราผู้เสียชีวิตจากโรคร้ายที่ต่ำมาก สาเหตุก็มาจากว่า ทุกคนมีประกันสุขภาพและประกันสุขภาพนี้จะจ่ายทดแทนให้ได้หมดแทบไม่มีข้อยกเว้น ป่วยเมื่อไหร่ประกันจ่ายให้หมด 100% หรือแม้แต่ชาวต่างชาติที่เข้าไปในอาศัยในประเทศฝรั่งเศสก็ต้องมีประกันสุขภาพด้วยเช่นกัน โดยราคาของประกันสุขภาพอยู่ที่ประมาณ 200-500 ยูโรหรือประมาณ 8,000-20,000 บาทต่อปีค่ะ


5.จำนวนนักท่องเที่ยว
ประเทศฝรั่งเศสมีประชากรจำนวน 64 ล้านคนซึ่งไม่แตกต่างจากประเทศไทยบ้านเรานัก แต่!!!!!! ประเทศฝรั่งเศสมีนักท่องเที่ยวมาเยือนปีละ 70 กว่าล้านคน ถือว่ามากกว่าจำนวนพลเมืองในประเทศด้วยซ้ำ สุดยอดเลยเนาะ นอกจากนี้ ยังถือเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนมากที่สุดของปี 2011 (ใน 10 อันดับมีเอเชีย 3 ประเทศคือ จีน ตุรกี และมาเลเซีย)


6.ภาษีโทรทัศน์    
น่าแปลกดีเหมือนกันที่ใครมีโทรทัศน์ ต้องเสียภาษีโทรทัศน์ด้วย!! โดยตกประมาณ 200 ยูโรหรือ 8,000 บาทต่อปี ภาษีเหล่านี้ทางรัฐบาลจะนำไปปรับปรุงรายการโทรทัศน์ให้มีคุณภาพมากขึ้น และที่สำคัญคือมีโฆษณาคั่นรายการน้อยมากค่ะเพราะรัฐบาลฝรั่งเศสไม่ต้องการให้ประชาชนถูกโฆษณาเหล่านั้นมอมเมา (พูดง่ายๆ คือปกติรายการทีวีต้องมีโฆษณาเข้า ถึงจะมีรายได้ แต่รายการทีวีของฝรั่งเศสไม่มีรายได้จากโฆษณา เลยต้องเก็บเป็นภาษีแทน) แต่จริงๆ ก็ไม่ใช่แค่ฝรั่งเศสนะคะที่มีการเก็บภาษีโทรทัศน์ เพราะประเทศอื่นๆ ในยุโรป เช่น เยอรมัน เดนมาร์ค ออสเตรีย เค้าก็มีเก็บเหมือนกันแถมแพงกว่าที่ฝรั่งเศสด้วย


7.ลูกค้าไม่ใช่พระเจ้า    
เราคงคุ้นเคยกับประโยคที่ว่า The customer is always right. คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยังไงลูกค้าก็คือพระเจ้าและถูกอยู่เสมอ แต่ไม่ใช่ที่ฝรั่งเศสค่ะ ! ว่ากันว่าวิถีการให้บริการของคนที่นั่นค่อนข้างแข็งๆ ทื่อๆ ไม่ค่อยแคร์ลูกค้าเคยมีคนกล่าวไว้ว่า เวลาเปิดร้านค้าในฝรั่งเศสขึ้นอยู่กับอารมณ์คนขาย ไม่ได้จะแคร์ลูกค้า 555


8.เจ้าแห่งรางวัลโนเบล    
ชาวฝรั่งเศสเป็นชาติที่โรแมนติก ดังนั้นที่นี่จึงเป็นบ้านเกิดของกวีและนักเขียนชื่อดังมากมาย ที่สำคัญ ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาวรรณกรรมมากที่สุดของโลกด้วยค่ะ โดยนักเขียนที่เคยได้รับรางวัลนี้ก็เช่น J. M. G. Le Clézio หรือ ฌ็อง มารี กุสตาฟว์ เลอ เกลซีโย เป็นนักเขียนและนักเดินทางรอบโลกชาวฝรั่งเศส มีผลงานเขียนกว่า 40 เรื่อง จนได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมเมื่อปี 2008 ที่ผ่านมา



เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
คำว่า "สิ่งมหัศจรรย์" หมายถึง สิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้น มีความวิจิตรงดงาม และทรงคุณค่ายิ่งทางประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม ปฏิมากรรม โดยเฉพาะเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อ ไม่น่าที่มนุษย์จะมีความสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ใหญ่โตหรืองดงามขนาดนี้ สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ งดงาม และมีคุณค่ายิ่ง อีกทั้งไม่น่าเชื่อว่า ธรรมชาติจะเก่งกาจถึงขนาดนั้น ก็นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ด้วย

การแบ่งประเภทของสิ่งมหัศจรรย์
การแบ่งประเภทของสิ่งมหัศจรรย์ในโลกอันกว้างนั้นสามารถจำแนกออกเป็นหลายสาขาด้วยกัน เช่น สิ่งมหัศจรรย์สาขาภูมิศาสตร์,สาขาประวัติศาสตร์,สาขาจิตรกรรม และสถาปัตยกรรม,สาขาชีววิทยา   และสาขาวิทยาศาสตร์ การจัดแบ่งสิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรม หรือในด้านการก่อสร้าง สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ยุค หรือ 3 สมัย คือ
             
-  สิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์สมัยโบราณ
-  สิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์สมัยกลาง
-  สิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์สมัยปัจจุบัน

สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ 
สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ(อายุตั้งแต่ 5,000 ปี ก่อนคริสต์กาล - ค.ศ. 500 ) ประมวลและจัดโดยนักปราชญ์กรีก ชื่อ แอนติเพเตอร์( Antipater ) แห่งไซดอน ( Sidon )ในศตวรรษที่สองก่อน ค.ศ. สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 7 อย่าง สมัยโบราณเป็นผลงานของมนุษย์ทางด้านวิศวกรรม  สถาปัตยกรรมและศิลปะชวนพิศวง จากยุคสมัยแรกเริ่มอารยธรรมของโลกในแถบลุ่มแม่น้ำไนล์ในอียิปต์  ถึงยุคความรุ่งเรืองของอารยธรรมกรีกโบราณและยุคสมัยอาณาจักรโรมันเรืองอำนาจ

1.พีระมิดอียิปต์  (The Pyramids of Egypt)
พีระมิดอียิปต์เป็นสิ่งมหัสจรรย์ยุคโบราณเพียงสิ่งเดียวที่ยังคงสภาพเกือบสมบูรณ์เหมือนในอดีต ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ณ เมืองกีเซ (Giza) ตอนเหนือของกรุงไคโร  เมืองหลวงของอียิปต์ ประกอบไปด้วยพีระมิดใหญ่  3  องค์  คือ  พีระมิดที่บรรจุพระศพของฟาโรห์คีออปส์ (Cheops) คีเฟรน (Chephren) และไมเซอริมุส (Mycerimus)  พีระมิดคีออปส์เป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุด  สร้างขึ้นมาเมื่อประมาณ  3500  ปีก่อนคริสต์ศักราช  เดิมสูงถึง  481 ฟุต  แต่ปัจจุบันลดลงเหลือ  450  ฟุต  ฐานของพีระมิดครอบคลุมพื้นที่ประมาณ  32.5  ไร่ ( 13  เอเคอร์ )  สร้างขึ้นโดยการใช้หินทรายตัดเป็นแท่งสี่เหลี่ยมก้อนละประมาณ  2.5 ตัน  ถึง  30  ตัน  โดยใช้หินทั้งหมดกว่า  2.3  ล้านก้อน  ใช้แรงงานทาสและกรรมกรในการก่อสร้างประมาณ 100,000 คน ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ  20  ปี สำหรับพีระมิดคีเฟรนหรือพีระมิดรูปสฟิงซ์ซึ่งเป็นคนครึ่งราชสีห์ โดยมีใบหน้าเป็นคนมีตัวเป็นราชสีห์อยู่ในท่าหมอบเฝ้าหน้าพีระมิดคีออปส์สูงประมาณ 66 ฟุต


2.ประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย  (The Pharos (Lighthouse) of Alexandria)
ประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย  ตั้งอยู่บนเกาะฟาโรสริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ณ เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์  สร้างขึ้นมาเมื่อประมาณ  270  ปีก่อนคริสต์ศักราช ในสมัยของพระเจ้าปโตเลมีที่ 2 (Ptolemy II ) โดยสถาปนิกชากรีกนามว่า โซสเตรโตส (Sostratos) ตัวประภาคารสูงประมาณ 200 - 600 ฟุต สร้างด้วยหินอ่อนสลักลวดลายวิจิตรบรรจงมาก มีบันไดวนเป็นทางขึ้นไปสู่ยอดประภาคาร ซึ่งมีตะเกียงขนาดใหญ่ส่องแสงสว่างเห็นได้ชัดในยามค่ำคืน ทำให้อเล็กซานเดรียเป็นเมืองท่าที่งดงามยิ่งนัก แต่ในศตวรรษที่ 13 ประภาคารฟาโรสได้พังทลายลงเนื่องจากเกิดแผ่นดินไหว

 

3.สวนลอยแห่งบาบิโลน (The Hanging Garden of Babylon)
สวนลอยแห่งบาบิโลนตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส  บนผืนแผ่นดินของประเทศอิรักในปัจจุบัน สวนลอยบาบิโลนเป็นสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 (Nebuchadnezzar II) แห่งกรุงบาบิโลเนียทรงดำริให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอุทยานพักผ่อนแด่พระมเหสีของพระองค์เมื่อประมาณ  600 ปีก่อนคริสต์ศักราช  สวนลอยที่สร้างบนพื้นดินกึ่งทะเลทรายนี้มีลักษณะเป็นชั้นลดหลั่นกันขึ้นไปสูงประมาณ  75  ฟุต บนพื้นที่ 400 ตารางฟุต  ระเบียงของแต่ละชั้นได้รับการตกแต่งด้วยการปลูกไม้ดอก ไม้พุ่ม และไม้ยืนต้นต่างๆ โดยมีระบบชลประทานชักรอกน้ำจากแม่น้ำยูเฟรติสขึ้นไปสู่ชั้นบนสุด  เพื่อปล่อยให้ไหลลงมายังชั้นต่างๆ สร้างความชุ่มชื้นให้แก่ต้นไม้ตลอดทั้งปี  ส่วนผนังแต่ละด้านประดับประดาด้วยกระจกสีอย่างสวยงาม  ปัจจุบันสวนลอยบาบิโลนได้พังทลายสูญหายไปหมดแล้ว


4.สุสานมุสโซเลียมแห่งฮาลิคานาสซัส  (The  Mausoleum  at Halicarnassus)
สุสานมุสโซเลียม สร้างขึ้นโดยพระนางอาเตมีเชีย พระมเหสีของกษัตริย์มุสโซลุส (Mausolus) แห่งคาเรีย เพื่อเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์มุสโซลุสหลังจากที่พระองค์สวรรคตเมื่อประมาณ  353  ปีก่อนคริสตศักราช  ตั้งอยู่ที่เมืองฮาลิคานาสซัสหรือเมืองซาเรีย ในประเทศอิหร่านปัจจุบัน ตัวสุสานสูงประมาณ 135 ฟุต  ความยาวฐานโดยรอบ  460  ฟุต  สร้างด้วยหินอ่อนล้วน  หลังคาชั้นบนสุดเป็นฐานสี่เหลี่ยมมีรูปแกะสลักของพระเจ้ามุสโซลุสประทับราชรถเทียมม้าอย่างสง่างาม แต่ต่อมาราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 - 13 ได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้น ทำให้สุสานพังทลายลงมา  ปัจจุบันจึงคงเหลือแต่ซากปรักหักพังบางส่วนที่พิพิธภัณฑ์แห่งอังกฤษเก็บอนุรักษ์ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังศึกษากันต่อไป


5.อนุสาวรีย์โคโลสซูสแห่งเกาะโรดส์  (The Colossus of Rhodes)
อนุสาวรีย์โคโลสซูสหรือเทพเจ้าอพอลโล(Apollo) เป็นเทวรูปที่หล่อขึ้นด้วยทองคำสำริดในท่ายืน ตั้งอยู่ที่เมืองโรดส์ ประเทศกรีซ  สูงประมาณ 120  ฟุต  สร้างขึ้นมาเมื่อประมาณ 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช  โดยกษัตริย์ชาเรสแห่งลินดุส(chares of Lindus) ใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ  12  ปี  แต่พังทลายลงหลังจากก่อสร้างได้ประมาณ  60  ปี  เนื่องจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อ  224  ปีก่อนคริสต์ศักราช  และไม่ได้รับการบูรณะซ่อมแซมเป็นเวลาประมาณ  900  ปี จนกระทั่งในราวคริสต์ศตวรรษที่  10  ชาวเมืองซาราเซนส์ได้ทำการซื้อเศษทองสำริดของอนุสาวรีย์  เพื่อนำไปหล่อทำอาวุธสงครามจนหมดสิ้น  เทวรูปขนาดใหญ่ยืนคร่อมปากอ่าวให้เรือลอดผ่านไปมาแห่งนี้  จึงไม่เหลือแม้แต่เศษชิ้นส่วนของความยิ่งใหญ่ไว้เลย


6.วิหารไดอานา (อาร์เทมิส) แห่งเมืองเอฟิซูส (The Temple of Diana (Artemis) at Epesus)
 วิหารไดอานา ตั้งอยู่ที่เมืองเอฟิซูส ประเทศกรีซ  สร้างขึ้นด้วยหินอ่อนเมื่อประมาณ 550 ปีก่อนคริสต์ศักราช  ตัววิหารกว้าง  160  ฟุต  ยาว  342  ฟุต  ด้านกว้างมีเสาหินอ่อนเรียง  8  ต้น ด้านยาวเรียง  20  ต้น เสาแต่ละต้นสูง  60  ฟุต  เส้นผ่าศูนย์กลาง  6  ฟุต  หลังคาทำด้วยไม้มุงกระเบื้องหินอ่อน  ขนาดของวิหารครอบคลุมพื้นที่  54,720  ตารางฟุต  เป็นวิหารที่สวยงามมาก เชื่อกันว่าสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพธิดาอาร์เทมิสผู้เสด็จลงมาจากสรวงสรรค์เพื่อช่วยชาวเมืองให้พ้นจากภัยพิบัติและความหายนะทั้งปวง  วิหารไดอานาได้รับการบูรณะซ่อมแซมเมื่อปี ค.ศ. 186  เนื่องจากถูกไฟไหม้  แต่ปัจจุบันเหลือแต่ซากโครงร่างที่ยังคงงดงามให้ได้ศึกษากันต่อไป


7.อนุสาวรีย์เทพเจ้าซีอุส (จูปีเตอร์)แห่งโอลิมเปีย   (The Statue of Zeus (Jupeter) at  Olympia)
อนุสาวรีย์เทพเจ้าซีอุสหรือจูปีเตอร์แห่งเมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีซ  สร้างขึ้นโดยปฎิมากรนามว่า ฟีดีอัส ในช่วงเวลาระหว่าง ค.ศ. 53-111 เป็นอนุสาวรีย์สลักด้วยงาช้างรูปเทพเจ้าซีอุสประทับนั่งบัลลังก์  สูงประมาณ  40  ฟุต  พระหัสถ์ขวาถือรูปจำลองเทพแห่งชัยชนะ (A Small Figure of Victory) พระหัสถ์ซ้ายถือคธา ฉลองพระองค์และเครื่องประดับทำด้วยทองคำล้วน ชาวกรีกโบราณให้ความเคารพนับถือว่าเป็นเทวรูปศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่ง แต่ปัจจุบันได้พังทลายสูญหายไปหมดเนื่องจากแผ่นดินไหว ยังคงมีหลักฐานเหลือไว้แต่เพียงในภาพวาดและในเหรียญโบราณเท่านั้น



สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง
(อายุตั้งแต่ คริสต์ศตวรรษที่ 5 - คริสตศตวรรษที่ 16 ) สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยกลาง ถูกจัดขึ้นมาและเป็นที่ยอมรับกันแพร่หลาย ต่อมาหลังจากมีการตั้งข้อสังเกตว่า 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยโบราณแทบทั้งหมด  ยกเว้นพีระมิดล้วนแต่เสื่อมโทรมเสื่อมสลายไปหมดสิ้น เหลือเพียงร่องรอยหลักฐาน หรือแบบจำลองเท่านั้น สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยกลางล้วนแต่ยังดำรงอยู่เป็นหลักฐานให้ศึกษากันในปัจจุบันถึงแม้จะเสื่อมโทรมไปบ้างตามกาลเวลา สำหรับคำว่า สมัยกลาง ของ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยกลาง มีความหมายเพียงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคถัดมาจากยุคโบราณเท่านั้น

1.หอเอนเมืองปีซา ประเทศอิตาลี  (The Leaning Tower of Pisa)
หอเอนเมืองปีซา ตั้งอยู่ที่เมืองปีซา ประเทศอิตาลี  เป็นหอทรงกระบอก  8  ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสูง 181 ฟุต เริ่มสร้างเมื่อ ค.ศ. 1174  แต่การก่อสร้างต้องหยุดชะงักลงเมื่อก่อสร้างไปได้ประมาณ  4-5  ชั้น   เนื่องจากพื้นดินใต้อาคารเริ่มยุบลงจากการที่รากฐานของอาคารไม่มั่นคงพอ  ต่อมาได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยเมื่อปี ค.ศ. 1350 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงบางส่วนของโครงสร้างด้านบนไปจากแผนผังเดิมเพื่อถ่วงดุลกับการเอียงของหอโดยรวมระยะเวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 176  ปี  แต่ตัวหอก็ยังเอน
จากแนวตั้งฉากถึง 14  ฟุต ปัจจุบันนี้ได้ปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมข้างบนแล้ว  เนื่องจากว่าหอจะเอนลงเรื่อยๆ ซึ่งบรรดาวิศวกรกำลังหาทางที่จะหยุดยั้งการเอนและอนุรักษ์ให้มีสภาพเอียงไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ชมไปอีกนานๆ สำหรับหอเอนปิซานี้ภายในมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายด้วยฝีมือจิตรกรชื่อดังแห่งยุคได้สลักลวดลายไว้สวยงามมาก   ณ  ที่หอเอนปิซาแห่งนี้เป็นที่ที่กาลิเลโอขึ้นไปทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับแรงดึงดูดของโลก


2.  สนามกีฬาโคลอสเซียมในกรุงโรมของอิตาลี (The colosseum  of  Rome)
สนามกีฬาแห่งกรุงโรม เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ที่เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสปาเซียนแห่งอาณาจักรโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิติตัส (Titus) ในคริสต์ศตวรรษที่ 1  หรือ   ประมาณปี ค.ศ. 80  อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ  527  เมตร  สูง  57  เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ  50,000  คน  ใต้อัฒจรรย์มีห้องใต้ดินที่สร้างขึ้นเพื่อขังสิงโตและนักโท
ประหาร  ก่อนปล่อยให้ออกมาต่อสู้กันกลางสนาม  นอกจากนี้ยังใช้เป็นสถานที่ประลองฝีมือของเหล่าอัศวินในยุคนั้น ปัจจุบันยังคงเหลือโครงสร้างเกือบสมบูรณ์ตั้งเด่นเป็นโบราณสถานที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ทั่วโลก


3.กำแพงเมืองจีน  ประเทศจีน (The Great Wall of China)
กำแพงเมืองจีนสร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 332 - 339  โดยจิ๋นซีฮ่องเต้  เป็นกำแพงอิฐที่ยาวที่สุดในโลก   ซึ่งยาวประมาณ 2400 กิโลเมตร เพื่อป้องกันการรุกรานจากชาวตาตาร์  กำแพงสร้างด้วยดิน  หิน  และก่ออิฐโดยรอบ  มีการสร้างป้อมปราการประมาณ  15,000  แห่ง  มีฐานกว้างประมาณ  20  ฟุต  ทางเดินกว้างประมาณ 12 ฟุต  สูงประมาณ  25  ฟุต  มีระฆังบอกเหตุประมาณ  20,000  หอ  ใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 10 ปี  โดยแรงงานของประชาชนนับล้านคนและมีผู้เสียชีวิตในระหว่างการสร้างประมาณหมื่นคน ซึ่งเป็นจำนวนที่มากพอสมควร ปัจจุบันกำแพงเมืองจีนได้รับการบูรณะซ่อมแซมในส่วนที่ชำรุดเสียหาย ซึ่งทำให้กำแพงเมืองจีนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีสภาพสมบูรณ์สวยงาม


4.กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์ เมืองซัลลิสเบอรี่ ประเทศอังกฤษ (Stonehenge)
กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์ มีอายุประมาณปลายยุคหินถึงต้นยุคบรอนซ์ ตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบซาลิสเบอรี ด้านเหนือของเมืองซาลิสเบอรี ในมณฑลวิลไซร์ ห่างจากกรุงลอนดอนไป  10  ไมล์ ประเทศอังกฤษ   ไม่มีหลักฐานว่าใครเป็นผู้นำมาวางไว้  และนำมาวางไว้เพื่อจุดประสงค์ใด นักวิทยาศาสตร์บางท่านสันนิษฐานว่าสร้างมาเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของมนุษย์ยุคนั้น กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์ประกอบไปด้วยก้อนหินทรงสูงขนาดใหญ่จำนวน 112 ก้อน วางตั้งเรียงเป็นรูปวงกลมซ้อนกันสามวง บางก้อนล้มนอน บางก้อนวางทับซ้อนอยู่บนยอดวงหินรอบนอกมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 100 ฟุต มีน้ำหนักเป็นตันๆ บริเวณที่ราบซาลิสเบอรีเป็นทุ่งโล่ง  ไม่มีภูเขา  และไม่ปรากฏว่ามีก้อนหินอยู่ในบริเวณใกล้เคียง   อย่างไรก็ตามในปี  พ.ศ.  2507  เจอรัลด์  เอส  เฮากินส์  นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันได้สันนิษฐานว่า   เป็นสถานที่สำหรับทำนายตำแหน่งของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่สัมพันธ์กับการเกิดฤดูกาลบนพื้นโลก คือ เป็นปฏิทินที่สร้างขึ้นมาอย่างหยาบๆ


5.สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย (คาตาโคมป์) เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ (The Catacombs of Alexandria)
สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย มีชื่อเรียกว่า  คาตาโกมบ์  ตั้งอยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรีย  ประเทศอียิปต์  เป็นสุสานฝังศพใต้ดินของกษัตริย์อียิปต์โบราณ  ไม่ปรากฎหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้างเป็นสุสานของใคร   และสร้างเมื่อใด  ลักษณะของสุสานไม่เหมือนกับปีรามิดคือจัดสร้างเป็นอุโมงค์ใต้ดินขุดลึกเข้าไปในภูเขาหินทราย  ทำเป็นชั้นๆ และมีช่องทางเดินกว้างประมาณ 3-4 ฟุต วกเวียนไปมาเป็นระยะทางหลายไมล์ภายในอุโมงค์บางตอนตกแต่งอย่างสวยงาม  ที่บรรจุดพระศพคือผนังอุโมงค์ที่เจาะเป็นช่องลึกเข้าไป  มีแท่นบูชาวางด้วยตะเกียงดวงเล็กๆแขวนไหว้ด้านหน้า ปัจจุบันสุสานแห่งอเล็กซานเดรียได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยังคงสภาพสมบูรณ์อีกแห่งหนึ่ง


6. สุเหร่าเซนต์โซเฟีย เมืองคอนสแตนดิโนเปิล ประเทศตุรกี  (The Mosgue of Hagia Sophia)
สุเหร่าโซเฟีย  เป็นสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างศิลปะกรรมกรีกและเปอร์เชีย หรือเรียกว่าสถาปัตยกรรมแบบไบเซนไทน์(Byzantine)  สุเหร่าโซเฟียมีจุดเด่นอยู่ที่ยอดโดมกลางวิหาร  การประดับประดากระจกหลายสีที่บริเวณเหนือหน้าต่างประตู  และเสาสลักตามแบบไปเซนไทน์ถึง  108  ต้น ภายในตัววิหาร  สุเหร่าโซเฟียสร้างขึ้นมาราวคริสต์ศตวรรษที่ 13  โดยจักรพรรดิคอนสแตนตินแห่งอาณาจักรโรมันตะวันออก  ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ  17  ปี   เดิมเป็นโบสถ์ของคริสต์ศาสนา  ณ  กรุงคอนสแตนติโนเปิล  ประเทศตุรกี  แต่กลับถูกชนชาติเติร์กบุกทำลาย  ต่อมาในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน  ได้สร้างขึ้นมาใหม่อย่างวิจิตรงดงามด้วยเครื่องประดับตกแต่งที่มีค่าต่างๆ  โดยใช้เวลาในการสร้างนานถึงประมาณ  20  ปี  แต่เกิดแผ่นดินไหวขึ้นทำให้แตกร้าวเสียหาย  ซึ่งได้รับการซ่อมแซมจนอยู่ในสภาพเดิมในเวลาต่อมา  พอหลังจากสมัยของจักรพรรดิจัสติเนียน  พระเจ้าโมฮัมเหม็ดที่  2  ซึ่งทรงนับถือศาสนาอิสลามได้เข้ามามีอำนาจเหนือตุรกี  ได้ดัดแปลงให้โบสถ์กลายเป็นสุเหร่าที่มีความงามทางสถาปัตยกรรมอีกแบบหนึ่ง


7.เจดีย์กระเบื้องเคลือบเมืองนานกิง  ประเทศจีน (The Porcelain Tower of Nanking)
เจดีย์กระเบื้องเคลือบนานกิง  ตั้งอยู่ที่เมืองนานกิงที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศจีน  สร้างขึ้นในสมัยของราชวงศ์เหม็ง  เมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 15  ตัวเจดีย์มีลักษณะทรงสูงรูปแปดเหลื่ยม  หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว  แขวนกระดิ่งไว้ 80 ลูก  โดยรอบเจดีย์ก่อด้วยอิฐประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ   ยอดปลายแหลมของเจดีย์เป็นรูปทรงกลมต่อกันขึ้นไปและเคลือบด้วยทอง  แต่เจดีย์องค์เดิมมี  3  ชั้น   ต่อมาในสมัยของจักรพรรดิยุ่งโล้แห่งราชวงค์เหม็งประมาณ พ.ศ.  1973  ได้โปรดให้สร้างเพิ่มขึ้นไปอีกเป็น  9  ชั้น   มีโซ่โยงลงมาจากชายคาตรงแนวที่เป็นเหลี่ยมขององค์เจดีย์  8  เส้น  โดยแขวนกระดิ่งตามสายโซ่รวม  72  ลูก   ปัจจุบันองค์เจดีย์อยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก   เนื่องจากเหตุการณ์เกิดกบฎไท้เผ็งได้ถูกเผาทำลายเมื่อ พ.ศ. 2392



สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน
เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ หรือเดิม คือ เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน จัดทำขึ้นโดยองค์กรของสวิตซ์ The New Open World Corporation (NOWC) ซึ่งผลสรุปสุดท้ายได้ประกาศเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ที่กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส

1. เมืองโบราณซีเชน อิตซา ของชนเผ่ามายา ในเขตยูคาทาน เม็กซิโก
ชิเชน อิตซา ตั้งอยู่ที่คาบสมุทรยูคาทาน ประเทศเม็กซิโก เป็นเมืองศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของเผ่ามายา ตัววิหารที่สร้างถวายแด่เทพเจ้าของชนเผ่ามายาสร้างอยู่บนเนื้อที่กว่า 6.4 ตารางกิโลเมตร มีลักษณะเป็นปีระมิดเป็นชั้นลดหลั่นลงมา และมีบันไดอยู่ตรงกลาง บนยอดเป็นแท่นบูชาสำหรับทำพิธีกรรมสังเวยแด่เทพเจ้าชนเผ่ามายาได้ชื่อว่าเป็นเผ่าที่มีความป่าเถื่อนในการบูชายันมนุษย์ แต่ก็ได้ชื่อว่ามีความเจริญทางภาษาและความรู้ทางคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ โดยมีการสร้างปฏิทินมายาขึ้นโดยกำหนดให้ 1 ปี มี 18 เดือนและแต่ละเดือนมี 20 วัน ดังนั้น 1 ปีของชาวมายาจึงมี 360 วันและมีการเพิ่มวันที่ไม่ขึ้นกับเดือนใดเข้าไปอีก 5 วัน แม้จะมีความรู้ถึงเพียงนี้แต่พวกนี้กลับไม่ค้นพบการประดิษฐ์ล้อแต่อย่างใด


2. รูปปั้นพระเยซูคริสต์ หรือคริสต์ รีดีมเมอร์ บนยอดเขาในนครริโอ เดอ จาเนโร ของบราซิล
รูปปั้นพระเยซูคริสต์ ตั้งอยู่บนยอดเขาโคคาวาดู ( Cocarvado ) กรุงริโอ เดอ จาเนโร ( Rio de Janero ) ประเทศบราซิล มีความสูงราว 38 เมตร สร้างในปีค.ศ. 1921ได้รับการออกแบบโดยไฮตอร์ ดา ซิลวา กอสตา( Heitor da Silva Costa ) ชาวบราซิล และสร้างโดยพอล ลันดอฟสกี ( Paul Landowski ) ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี โดยทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ตุลาคม 1926 ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปยังฐานของรูปปั้นเพื่อชมทิวทัศน์ของเมืองริโอ เดอ จาเนโรได้



3.กำแพงเมืองจีน (ติดโผครั้งที่ 2 จากยุคกลาง)
กำแพงเมืองจีน หรือ กำแพงหมื่นลี้  สร้างในสมัยของพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้  เพื่อป้องกันการรุกรานจากพวกมองโกล และพวกเติร์ก และได้มีการสร้างกำแพงต่ออีก 4 ครั้งใหญ่ๆ โดยส่วนใหญ่ถูกสร้างในสมัยราชวงศ์หมิง แต่ก็ถูเผ่าเร่ร่อนจากมองโกเลียและแมนจูเรียบุกข้ามกำแพงเมืองจีนได้สำเร็จ กำแพงเมืองจีนเป็นกำแพงที่กั้นระหว่างพรมแดนจีนกับธิเบต มีความสูงจากพื้นดิน 20 - 30 ฟุต กว้าง 15 - 20 ฟุต ยาวประมาณ 2,400 กิโลเมตร กำแพงก่อด้วยดิน หินและอิฐ โดยทุกๆ 200 เมตรจะมีหอตรวจการอยู่ และมีระฆังแขวนอยู่ทุกหอรวมไม่ตำกว่า 20,000 หอ ระหว่างการก่อสร้างมีผู้เสียชีวิตนับหมื่นคนและศพของผู้เสียชีวิตก็ถูกผังอยู่ในกำแพงนั่นเอง กำแพงเมืองจีนเป็นสิ่งก่อสร้างสิ่งเดียวของมนุษย์ที่สามารถมองเห็นได้จากดวงจันทร์ ปัจจุบันกำแพงเมืองจีนส่วนที่เหลืออยู่สร้างในสมัยราชวงศ์หมิงทั้งสิ้น กำแพงเมืองจีนถูกจัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางด้วย


4. เมืองโบราณมาชูปิกชู ของชนเผ่าอินคา ในเปรู
มาชู ปิกชู หรือนครสาบสูญแห่งอินคา ( The Lost City of the Incas ) เป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่บนภูเขาในประเทศเปรู อยู่สูงจากระดับนำทะเลถึง 2,350 เมตร มาชู ปิกชู สร้างโดยจักรวรรดิ์อินคา และถูกทิ้งร่างเมื่ออินคาพ่ายแพ้แก่ชาวสเปน จนกระทั่งถูกค้นพบโดยนักสำรวจชาวอเมริกันชื่อ ฮิราม บิงแฮม ( Hiram Bingham ) ในปี ค.ศ. 1911


5. เมืองโบราณเพตรา ในจอร์แดน
นครเพตรา เป็นนครที่แกะสลักลงบนหุบเขาใกล้ทะเลสาบเดดซี ( Dead sea ) และอ่าวอัคบา ( Gulf of Aqaba ) เมืองเพตราถูกสร้างโดยชาวบานาเทียน ( Nabataeans ) ซึ่งเป็นชนเผ่าเร่ร่อนกลางทะเลทรายอาหรับ ซึ่งได้สกัดหน้าผาหินทรายให้เป็นบ้านเรือนสำหรับพักอาศัย และได้เปลี่ยนจากอาชีพเลี้ยงแกะมาเป็นพ่อค้า และรับคุ้มครองกองคาราวาน ทำให้เพตราเป็นศูนย์กลางการค้าขนาดใหญ่มีพ่อค้าชาวกรีกได้อธิบายถึงความมั่งคั่งของเพตราว่าเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดของชาวอาหรับ เปตราเจริญถึงขีดสูงสุดในช่วง 50 ปีก่อนคริสตกาล จนถึงคริสตศักราชที่ 70 ในช่วงเวลานี้เปตราถูกปกครองด้วยกษัตริย์นามอารีตัสที่ 4 ( Aretas IV ) ผู้ที่ชาวกรีกยกย่องว่า ฟิโลเดมอส ( Philodemos ) ซึ่งแปลว่า ผู้รักประชาชน เพตราเริ่มเสียอำนาจเมื่อมีเส้นทางการค้าที่สะดวกและปลอดภัยกว่าเกิดขึ้น จนกระทั่งปีค.ศ. 106 เพตราถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรโรมัน จนคริสตศตวรรษที่ 5 เพตรากลายเป็นที่ตั้งของมณฑลของบิชอบ และถูกมุสลิมยึดครองในครสตศตวรรษที่ 7 และค่อยๆเสื่อมลงจนหายไปจากประวัติศาสตร์ จนกระทั่งถูกค้นพบโดย นักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โจฮันน์ ลุควิก เบิร์กฮาร์ท ( Johann Ludwig Burckhardt ) ในปีค.ศ. 1812 เพตราจึงได้ปรากฏโฉมต่อชาวโลกอีกครั้ง


6. สนามกีฬาโคลอสเซียมในกรุงโรมของอิตาลี
โคลอสเซียม เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ในกรุงโรม สร้างในสมัยจักรพรรดิ์เวสปาเชียน ( Emperor Vespasian ) แห่งอาณาจักรโรมันและสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไตตัส ( Titus ) ในคริสตศตวรรษที่ 1 โคลอสเซียมมีลักษณะเป็นอัฒจันทร์รูปวงกลมก่อด้วยหินทรายและอิฐวัดโดยรอบประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร จุคนได้ประมาณ 80,000 คน มีห้องสำหรับขังทาส นักโทษ และสัตว์ดุร้าย เช่น สิงโต เสือ โดยจะให้ทาสสู้กันเองจนกว่าจะเหลือผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจึงจะได้รับอิสระภาพ หรือ ให้นักโทษสู้กับสิงโตที่หิวโซเนื่องจากถูกจับอดอาหาร ในแต่ละปีมีนักโทษและทาสตายไม่ต่ำกว่า 100 คน โคลอสเซียมถูกจัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางด้วย


7. ทัชมาฮาล ในเมืองอักรา ประเทศอินเดีย
ทัชมาฮาล สร้างโดยจักรพรรดิ์ชาห์ เจฮัน ( Emperor Shah Jahan ) เพื่อเป็นอนุสรณืแห่งความรักแด่พระมเหสีมุมทัชมาฮาล ( Mumtaz Mahal ) ทัชมาฮาลสร้างขึ้นระหว่างสร้างระหว่าง ค.ศ.1630-1648 ณ สวนริมผั่งแม่นำยมนา เมืองอัครา ออกแบบโดยอุสตาด ไอสา (Ustad lsa)สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวจากเมืองมะครานา หินอ่อนสีแดงจากเมืองฟาตีบุระ หินอ่อนสีเหลืองจากฝั่งแม่น้ำนรภัทฑ์ เพชรตาแมวจากกรุงแบกแดด ปะการัง และ หอยมุกจากมหาสมุทรอินเดีย หินเจียระไนสีฟ้าจากเกาะลังขะ เพชรจากเมืองบนทลขัณฑ์ ทัชมาฮาลได้รับการรับรองจากสถาปิกทั่วโลกว่าสร้างได้ถูกสัดส่วน และงดงามที่สุด กว้างยาวด้านละ 100 เมตร ตรงกลางมีโดมสูง 60 เมตร มีหอสูงมีโดมอยู่บนรอบทั้ง 4 มุม ภายใต้โดมใหญ่มีโลงหินอ่อนประดับด้วยอัญมณีมากมายบรรจุอยู่ แต่โลงพระศพจริงๆอยู่ในอุโมงค์ข้างใต้โลงหินนั้นเดิมชาห์ เจฮันตั้งพระทัยจะสร้างสุสานสำหรับพระองค์เองที่อีกฝั่งของแม่น้ำยมนา โดยสร้างให้เหมือนกับทัชมาฮาลแต่สร้างด้วยหินอ่อนสีดำ แต่ถูกพระโอรสจับพระองค์ขังอยู่ 7 ปีจึงสิ้นพระชนม์ และพระศพของพรองค์ถูกฝังอยู่เคียงข้างมิ่งมเหสีสุดที่รักนั่นเอง ส่วนอุสตาด ไอสาสถาปนิกผู้ออกแบบก็ถูกชาห์ เจฮันสั่งประหารเนื่องจากไม่ต้องการให้ออกแบบสถาปัตยกรรมใดๆที่สวยกว่าทัชมาฮาลได้


ประวัติช็อกโกแลต
ช็อกโกแลตถูกค้นพบมาตั้งแต่สองพันปีที่แล้ว หลังสมัยพระนางคลีโอพัตราแห่งอียิปต์ เป็นผลผลิตที่ได้จากเมล็ดของต้นคาเคา (cacao) ในป่าร้อนชื้นของทวีปอเมริกา จัดอยู่ในตระกูล Theobroma cacao แปลว่า "อาหารแห่งทวยเทพ" ชนกลุ่มแรกที่รู้จักทำช็อกโกแลตเป็นอารยธรรมโบราณที่อยู่ในเม็กซิโก และอเมริกากลาง ชนกลุ่มนี้ได้แก่ชาวมายา และชาวแอซเทค แห่งอารยธรรมเมโสอเมริกา คนเหล่านี้เอาเมล็ดคาเคามาบดแล้วผสมกับเครื่องปรุงหลายชนิดเพื่อทำเป็นเครื่องดื่มที่มีรสขมเฝื่อน นอกจากใช้ประกอบอาหาร แล้วช็อกโกแลตยังเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตเชิงศาสนาและสังคมด้วย

ชาวมายา (ค.ศ.250-900) เป็นชนชาติแรกที่มีหลักฐานชัดเจนว่าได้ค้นพบความลับของต้นคาเคาโดยพวกเขา ได้นำต้นคาเคามาจากป่าฝนและปลูกไว้ที่สวนหลังบ้าน พอออกฝักก็เก็บเอาเมล็ดมาหมักบ้าง คั่วบ้าง และยังบดเป็นเนื้อเหนียว อยากชงเป็นเครื่องดื่มก็เอามาผสมน้ำ โรยพริกไท แป้งข้าวโพด ก็จะได้เครื่องดื่มช็อกโกแลตรสซาบซ่ามีฟองฟ่อง

ต่อมาราวคริสต์ศตวรรษที่ 14 อาณาจักรของชาวแอซเทคครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของอารยธรรมเมโสอเมริกา โดยมีเมืองหลวงตั้งอยู่ที่เมืองปัจจุบันเรียกว่า เม็กซิโก ซิตี้ ชาวแอซเทคได้ซื้อขายเมล็ดคาเคากับชาวมายาและชนชาติอื่น และยังเรียกเก็บค่าบรรณาการจากพลเมืองของตนและเชลยเป็นเมล็ดคาเคาโดยใช้แทนค่าเงิน ชาวแอซเทคนิยมดื่มช็อกโกแลตขมเช่นเดียวกับชาวมายายุคแรกโดยปรุงรสชาติให้ซู่ซ่าขึ้นด้วยเครื่องเทศ ชาวเมโสอเมริกาสมัยนั้นยังไม่มีใครปลูกอ้อยก็เลยไม่มีใครใส่น้ำตาลกัน

เล่ากันว่า คนมายายุคคลาสสิกชอบดื่มช็อกโกแลตกันในวาระพิเศษขณะที่บรรดาเชื้อพระวงศ์จะนิยมดื่มกันมากส่วนชาวแอซเทค บรรดาผู้ปกครองระดับสูง พระ ทหารยศสูง และพ่อค้าที่มีหน้ามีตาเท่านั้นที่มีสิทธิลิ้มรสเครื่องดื่มศักดิ์สิทธิ์นี้ ช็อกโกแลตมีบทบาทสำคัญในพิธีของราชวงศ์และศาสนา พระใช้เมล็ดคาเคาเป็นเครื่องสักการะเทพเจ้า และดื่มในพิธีสำคัญ

สำหรับที่มาของชื่อช็อกโกแลตนั้นยังไม่มีใครอธิบายได้แจ่มชัดแต่มีความเป็นไปได้สองทาง ทางแรกเป็นคำที่ผันมาจากคำว่า "ช็อคโกลัจ" ในภาษามายาซึ่งหมายถึง มาดื่มช็อกโกแลตด้วยกัน อีกทางหนึ่งอธิบายว่าน่าจะมาจากภาษามายาเช่นกัน คือ " chocol" แปลว่า ร้อน ผสมกับคำว่า "atl" ของแอซเทคที่แปลว่า น้ำ พอมารวมกันจึงกลายเป็นคำว่า chocolatl และมาเป็น chocolate ต่อมาในยุโรป

ประเภทช็อกโกแลต

ช็อกโกแลตที่ไม่ได้เพิ่มความหวาน (unsweetened chocolate)
คือ ช็อกโกแลตเหลวบริสุทธิ์หรือที่รู้จักกันในนาม ช็อกโกแลตฝาด ใช้ในการอบอาหาร และเป็นช็อกโกแลตที่ไม่มีการเจือปนใดๆทั้งสิ้น ช็อกโกแลตชนิดนี้จะมีรสชาติเข้มข้มและลุ่มลึกของช็อกโกแลตบริสุทธิ์ แต่อย่างไรก็ดีเมื่อมีการเพิ่มน้ำตาลเข้าไป ช็อกโกแลตชนิดนี้จะใช้เป็นส่วนผสมหลักในการทำบราวนี เค้ก ลูกกวาด และคุกกี้


ช็อกโกแลตดำ (dark chocolate)
คือ ช็อกโกแลตที่ไม่ได้เพิ่มนมเป็นส่วนประกอบ ซึ่งบางครั้งก็ถูกเรียกเป็ช็อกโกแลตธรรมดา แต่ว่าทางรัฐบาลสหรัฐฯ เรียกเป็นช็อกโกแลตหวาน และกำหนดให้มีส่วนผสมของช็อกโกแลตเหลวบริสุทธิ์เข้มข้น 15% แต่ทางยุโรปได้กำหนดให้มีส่วนผสมของเมล็ดโกโก้อย่างน้อย 35% ช็อกโกแลตดำมีสารฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ป้องกันมิให้เกิดคราบไขมันสะสมที่ผนังหลอดเลือดหัวใจ สาเหตุของโรคหัวใจเลือดตีบ และช่วยป้องกันไม่ให้เกล็ดเลือดแข็งตัว สาเหตุของการอุดตันในหลอดเลือด และป้องกันความดันโลหิตสูง

ช็อกโกแลตนม (milk chocolate)
คือ ช็อกโกแลตที่ผสมนมหรือนมข้นหวาน รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนดว่าหากจะเรียกว่าช็อกโกแลตนมต้องมีส่วนผสมของช็อกโกแลตเหลวบริสุทธิ์เข้มข้น 10% แต่ทางยุโรปได้กำหนดให้มีส่วนผสมของเมล็ดโกโก้อย่างน้อย 25% ช็อกโกแลตชนิดนี้มีส่วนผสมของเนยโกโก้ (cocoa butter) นม และยังเพิ่มความหวานและรสชาติลงไปด้วย ช็อกโกแลตนมนี้ใช้สำหรับแต่งหน้าขนมได้เป็นอย่างดี ช็อกโกแลตนมที่ทำในประเทศสหรัฐฯ ต้องประกอบด้วยน้ำช็อกโกแลตอย่างน้อย 10% และนมที่ไม่ได้เอามันเนยออก 12%


Chocolate Liquor
คือ ผลผลิตจากเมล็ดโกโก้นำมาบดละเอียด แล้วนำมาคั้นเอาแต่น้ำ น้ำช็อกโกแลตนี้สามารถทำให้เย็นและทำให้แข็งตัวโดยใส่พิมพ์ไว้ แต่ช็อกโกแลตที่ได้เป็นชนิดที่ไม่หวาน น้ำช็อกโกแลตนี้จะมีส่วนผสมของโกโก้บัตเตอร์ประมาณ 53%


ช็อกโกแลตกึ่งหวาน (semi-sweet)
คือ อยู่ในรูปของเหลวแล้วเพิ่มความหวานและใส่เนยโกโก้ลงไปด้วย สีของช็อกโกแลตชนิดนี้สีจะเข้ม ตามมาตรฐานของสหรัฐฯ จะมีส่วนผสมของน้ำช็อกโกแลตประมาณ 35% และมีไขมันประมาณ 27% ช็อกโกแลตชนิดนี้จะมีรสชาติความหวานเล็ก

ช็อกโกแลตหวาน (sweet chocolate)
ช็อกโกแลตชนิดนี้จะเพิ่มความหวานลงไปมากกว่าช็อกโกแลตแบบหวานน้อย และมีส่วนผสมของน้ำช็อกโกแลตอย่างน้อย 15 % ช็อกโกแลตชนิดนี้ใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำขนมและตกแต่งขนม และยังมีไขมันเท่า ๆ กับช็อกโกแลตแบบหวานน้อย


ช็อกโกแลตขาว (white chocolate)
ชนิดนี้มีส่วนผสมของเนยโกโก้ แต่ไม่มีโกโก้ที่อยู่ในรูปของไขมัน แต่จะประกอบไปด้วยน้ำตาล เนยโกโก้ นมสด และใส่กลิ่นวานิลลาลงไปด้วย ช็อกโกแลตขาวนี้จะแตกหักง่าย หากเป็นของปลอมจะทำมาจากน้ำมันพืชมากกว่าเนยโกโก้


Liquid Chocolate
เป็นช็อกโกแลตที่ไม่หวาน ส่วนใหญ่จะบรรจุขายเป็นขวด ขวดละ 1 ออนซ์ และเนื่องจากมันไม่ละลายจึงสะดวกในการใช้มาก โดยพัฒนาขึ้นมาสำหรับใช้ทำขนมอบ อย่างไรก็ดีเนื่องจากมีส่วนผสมของน้ำมันพืชมากกว่าเนยโกโก้ ซึ่งเนื้อช็อกโกแลตจะแตกต่างกัน ปกติแล้วช็อกโกแลตชนิดนี้จะมีรสไม่หวาน

ช็อกโกแลตชนิดกูแวร์ตูร์ (couverture)
เป็นชนิดที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวคือจะเป็นมันเงา โดยปกติจะมีส่วนผสมของเนยโกโก้อย่างน้อยที่สุด 32% ทำให้มันสามารถคงตัวอยู่ในรูปของไขได้ดีกว่าชนิดเคลือบ ปกติแล้วจะใช้เฉพาะในร้านที่ทำขนมหวานเท่านั้น ส่วนใหญ่จะพบอยู่ในรูปของส่วนที่เคลือบอยู่ภายนอกผลไม้หรือหุ้มไส้ช็อกโกแลตอยู่ มีรสเผ็ด

Ganache
ช็อกโกแลตชนิดนี้จะมีลักษณะข้นมาก เป็นที่นิยมนำไปทำเค้กช็อกโกแลต Ganache ทำโดยการเทวิปปิงครีมที่นำไปอุ่นลงไปในชอคโกแลตสับในปริมาณที่เท่ากัน ทิ้งไว้สักครู่จนช็อคโกแลตเริ่มละลายและคนให้เข้ากัน จะได้ส่วนผสมที่ข้นขึ้น อาจเติมเนยในปริมาณเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความเงาให้กับกานาชด้วย

Confectionery Coating
เป็นช็อกโกแลตที่ใช้เคลือบลูกกวาด โดยนำไปผสมกับน้ำตาล นมผง น้ำมันพืช และสารปรุงแต่งรสชาติต่างๆ มีสีสันหลากหลาย ลูกกวาดที่ได้นี้ผงโกโก้จะมีไขมันต่ำ แต่จะไม่มีส่วนผสมของเนยโกโก้ เหมือนชนิดอื่น ๆ จึงแยกออกมาเป็นอีกประเภทหนึ่งได้


ประโยชน์ของช็อกโกแลต
เป็นที่ยอมรับกันว่า ช็อกโกแลตเป็นอาหารที่มีสารเคมีที่ส่งผลต่อระบบประสาท เล่ากันว่า นักรักชื่อกระฉ่อนโลกอย่างจิอาโคโม คาสซาโนวา (1725-1795) กินช็อกโกแลตก่อนขึ้นเตียงกับผู้หญิงที่หลงเสน่ห์ด้วยช็อกโกแลตขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารกระตุ้นอารมณ์ใคร่ และผู้หญิงร้อยละ 50 สารภาพว่ากินช็อกโกแลตก่อนเมคเลิฟ ไม่นานมานี้ มีงานวิจัยที่ศึกษากับเพศชายจำนวน 8000 คนที่สำเร็จการศึกษาจากฮาร์วาร์ด พบว่าคนที่รับประทานช็อกโกแลตเป็นประจำมีอายุยืนกว่าคนที่ไม่เคยรับประทานช็อกโกแลต สาเหตุที่กินช็อกโกแลตแล้วอายุยืนอาจเกี่ยวข้องกับ สารโพลีฟีนอลที่มีอยู่จำนวนมากในช็อกโกแลต โพลีฟีนอลเป็นสารที่ช่วยลดอนุมูลอิสระของไลโปโปรตีนความแน่นต่ำ และช่วยป้องกันโรคหัวใจ แต่ความเชื่อดังกล่าวยังเป็นเรื่องถกเถียงกันอยู่

นักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองเปรียบเทียบกลุ่มที่รับประทานช็อกโกแลตเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ให้รับประทาน
ช็อกโกแลตเทียม เพื่อทดสอบความจำพบว่า กลุ่มที่กินช็อกโกแลตสามารถจดจำคำพูดและภาพได้ดีกว่า และยังเคลื่อนไหวตอบสนองได้คล่องแคล่วกว่า ปัจจุบันนักวิจัยกำลังทดลองซ้ำเพื่อเปรียบเทียบผลอยู่
การทดลองเหล่านั้นสอดคล้องกับชีวิตของคนที่มีอายุเกินร้อยปีหลายคน ยกตัวอย่าง ฌอง คลามงต์ (1875-1997) และ ซาร่าห์ เคลาส์ (1880-1999)ทั้งสองคลั่งไคล้ช็อกโกแลตมาก คลามงต์ มีนิสัยติดกินช็อกโกแลตอาทิตย์ละสองปอนด์จนกระทั่งแพทย์ต้องแนะนำให้เธอเลิกกินเมื่ออายุได้ 119 ปี 
สามปีก่อนที่เธอจะลาโลกไปด้วยอายุ 122 ปี ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุยืนมักแนะนำให้กินช็อกโกแลตดำแทนขนมหวานมีแคลอรีสูงและนิยมกันมากในอเมริกาในอังกฤษ ช็อกโกแลตแท่งสอดใส่คานาบิสนิยมใช้กับผู้ป่วยโรค multiple sclerosis หรือโรคปลอกหุ้มเส้นประสาทอักเสบ หรือเอ็มเอส เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดกับระบบประสาทส่วนกลางแบบฉับพลัน โรคดังกล่าวมีพัฒนาการอย่างช้าๆ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติทางสายตา การพูด เมื่อรักษาเฉพาะอาการแล้วอาจเกิดขึ้นอีกได้ และร้ายแรงถึงขั้นอัมพาต ตาบอด และเสียชีวิต


ในช็อกโกแลตมีส่วนประกอบมากกว่า 300 ชนิดที่ต่างกัน เช่นอนันดาไมด์ และเอ็นโดจีนัส คานาบินอยด์ที่พบได้ในระบบประสาท คนที่ไม่เชื่อแย้งว่า หากกินช็อกโกแลตให้ออกฤทธิ์ต่อประสาทได้จริงคงต้องกินกันทีละหลายปอนด์มากถึงเห็นผล และกินมากๆยังเสี่ยงเป็นนิ่วด้วย ถึงกระนั้น มีข้อมูลน่าสนใจอยู่อย่างหนึ่งคือ สารสองชนิดของอนันดาไมด์พบอยู่ในช็อกโกแลต ซึ่งเชื่อกันว่ามีผลช่วยยืดความรู้สึกสุขสบายให้ยาวนาน ช็อกโกแลตยังมีกาเฟอีน แต่ไม่มากนักและยังสามารถหาได้จากแหล่งอื่นที่มีมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ช็อกโกแลตนมมีกาเฟอีนน้อยกว่าดื่มกาแฟชนิดกาเฟอีนต่ำเสียด้วยซ้ำ 

นอกจากนี้ ช็อกโกแลตมีสารทริพโทฟาน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนสำคัญ ทำหน้าที่ควบคุมเซโรโทนิน 
สารสื่อประสาทที่ควบคุมอารมณ์ เมื่อร่างกายขับเซโรโทนินออกมาช่วยให้ผ่อนคลายความวิตกกังวลได้
ช็อกโกแลตช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน สารที่คล้ายกับที่ได้จากฝิ่นที่ผลิตขึ้นเองในร่างกาย เมื่อร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินจะช่วยลดความเจ็บปวดได้ บางครั้งเชื่อว่าเอ็นดอร์ฟินมีส่วนช่วยให้ร่างกายอบอุ่นและสงสัยกันว่าเป็นตัวที่ทำให้คนบางคนถึงขนาดติดช็อกโกแลตงอมแงม


ทําไมปาท่องโก๋ต้องมีสองข้าง
หากเอ่ยถึง"ปาท่องโก๋" แน่นอนว่าเราคงต้องนึกถึงอาหารชนิดหนึ่งที่ทำจากแป้งสองชิ้นประกบกันแล้วทอด นิยมรับประทานเป็นอาหารเช้า โดยทานคู่กับกาแฟ, โกโก้, น้ำเต้าหู้ หรือ โจ๊ก แต่จะมีสักกี่คนที่ทราบว่าปาท่องโก๋ที่เราคุ้นเคยนั้นมีต้นกำเกิดมาจากไหน และใครเป็นทำปาท่องโก๋ขึ้นมาชิ้นแรก

จากการสืบค้นข้อมูลจากหลายๆแหล่งที่มาจึงทำให้เราได้ทราบว่าจริงๆแล้ว ปาท่องโก๋ นั้นมีชื่อเรียกหลายชื่อ โดยชาวจีนแต้จิ๋วเรียกว่า อิ่วจาก้วย ส่วนภาษาฮกเกี้ยน อิ่วเจี่ยโก้ย หรือ เจี่ยโก้ย เป็นอาหารที่เกิดขึ้นในประเทศจีนมานานกว่า 800 ปี นอกจากนี้ ′ปาท่องโก๋′ ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งการสาปแช่งคู่สามีภรรยาที่ทรยศขายชาติอีกด้วย

มีตำนานเล่าต่อกันว่า ในสมัยราชวงศ์ซ้อง มีแม่ทัพนายหนึ่งชื่อ ′งักฮุย′ เป็นคนที่รักชาติยิ่งชีพ และมีความเก่งกาจสามารถรบชนะข้าศึกเป็นจำนวนมาก จนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว จนขุนนาง ′ฉินข้วย′ และ ′ภรรยาแซ่หวัง′ ซึ่งเป็นคนโลภ ได้ถูกฝ่ายตรงข้ามใช้เงินหว่านล้อมให้ทรยศต่อชาติเป็นพวกได้สำเร็จ เข้ากราบทูลเท็จต่อองค์ฮ่องเต้ว่า งักฮุยคิดการใหญ่ และแอบหลบหนีกองทัพในยามสงคราม ทำให้งักฮุยถูกประหารชีวิต

เมื่อข่าวแพร่ออกไป ชาวบ้านต่างรู้สึกโกรธแค้น จึงใช้วิธีการสาปแช่งด้วยการปั้นแป้งมาประกบติดกัน เพื่อเป็นตัวแทนของ ′ฉินข้วยและภรรยา′ ขุนนางขายชาติ ก่อนหย่อนใส่น้ำมันเดือดพล่าน เมื่อแป้งสุกแล้วก็นำมากัดกินด้วยความโกรธเกลียด เพื่อให้สาสมกับการกระทำดังกล่าว และเรียกขนมแป้งแห่งความเกลียดชังนั้นว่า ′อิ่วจาก้วย′ หมายถึง น้ำมันทอด ′ฉินข้วย′


เรื่องเล่าในตำนาน กำเนิดซานตาคลอส วันคริสต์มาส
 ซานตาคลอส (santa claus) เป็นบุคคลที่มีจุดกำเนิดทางตำนาน เทพปกรณัม ประวัติศาสตร์และตำนานพื้นบ้านตามวัฒนธรรมตะวันตกหลายประเทศ กล่าวกันว่าเขาเป็นผู้นำของขวัญไปยังบ้านของเด็กดีในช่วงเย็นและข้ามคืนวันคริสต์มาสอีฟ วันที่ 24 ธันวาคม

ต้นกำเนิดที่แท้จริงของ ซานต้า!
เรื่องของเรื่องมีว่ามีเด็กชายคนหนึ่งเกิดในหมู่บ้านไมรา ซึ่งสมัยก่อนโน้นตั้งอยู่ระหว่างเกาะโรดส์กับไซปรัส ใกล้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ในตุรกี สมัยยุคศตวรรษที่ 4 ซึ่งปัจจุบันนักท่องเที่ยวนิยมล่องเรือสำราญชื่นชมบรรยากาศ เด็กชายคนนี้มีชื่อว่า “นิโคลัส” (เซนต์นิโคลัส แห่ง ไมรา ( Saint Nicholas of Myra ) ) 

ชีวิตของเขาอยู่บนกองเงินกองทองเพราะพ่อแม่อยู่ในขั้นคหบดี สงสัยจะทำบุญมาแต่ชาติปางก่อนแต่ทว่าในความโชคดี ก็ย่อมมีความโชคร้าย ไม่ช้าไม่นานพ่อแม่ก็ถึงแก่กรรม ทรัพย์สินจึงตกเป็นของเขาเพียงผู้เดียว แต่น่าแปลกที่นิโคลัสกลับมีใจโอบอ้อมอารีต่อคนยากคนจน  ชอบแจกสมบัติช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก หรืออาจจะพบสัจธรรมที่ว่า แท้จริงแล้วเงินทองก็คือสิ่งสมมุติ ความสุขทางใจมีค่ามากกว่า เพราะมันประเมินมิได้


ครั้งนั้นมีครอบครัวของชายชราคนจนครอบครัวหนึ่ง กำลังมีปัญหาด้วยบุตรสาวทั้งสามต้องการแต่งงานแต่ไม่มีเงินจัดพิธีให้สมเกียรติ  ครอบครัวนี้จึงตกอยู่ในความทุกข์อย่างหนักเมื่อนิโคลัสทราบข่าวจึงนำทองคำใส่ถุง 2ถุง แอบย่องเข้าไปวางไว้ในบ้านของชายยากจนยามดึกสงัด ทำให้ 2สาวได้จัดพิธีแต่งงานได้อย่างใหญ่โตสมความปรารถนา ต่อมาก็ถึงเวลาของบุตรสาวคนสุดท้องบ้าง นิโคลัสก็นำถุงทองแอบมาหย่อนลงทางปล่องไฟในยามค่ำคืนเหตุที่ต้องใช้ปล่องไฟเพราะคืนนั้นหน้าต่างปิดสนิทหมดทุกด้าน

จากพฤติกรรมของนิโคลัสเป็นต้นเหตุให้พ่อแม่เด็ก ๆ ในสมัยต่อมาแอบนำของขวัญวางไว้ที่เตียงนอนของลูก ๆ ในตอนกลางคืน แล้วบอกว่าซานตาคลอสนำของขวัญมามอบให้ กลายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบที่ยกย่องซานตาคลอสให้ฝังอยู่ในจิตสำนึกของเด็กๆ สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน


นักบุญ เซนต์นิโคลัส แห่ง ไมรา

“ซินเตอร์คลาส”
คำว่า Santa Claus นั้นมาจากภาษาดัชต์ว่า Sinterklass นั่นก็คือชื่อ เซนต์นิโคลัส นั่นเอง ที่เด็กๆ อ่านเพี้ยนมาเป็นภาษาอังกฤษว่า ซานตาคลอส ในที่สุด และเรื่องของ เซนต์นิโคลัส ก็ได้ถูกเล่าขานต่อกันมา จนถึงทวีปอเมริกา ซึ่งการแต่งกายของซานตาในยุคนั้น จะมีโทนสีเขียวแก่ ไปถึงม่วง

นักบุญนิโคลัส ท่านเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั่วฮอลแลนด์ในชื่อ “ซินเตอร์คลาส” ราวค.ศ.1870 ชาวอเมริกันเรียกชื่อเพี้ยนไปเป็น”ซานตาคลอส” ตั้งแต่แรกจนถึง ค.ศ. 1890 ภาพของซานตาคลอสเป็นชายร่างผอมสูงสวมชุดสีเขียว หรือน้ำตาลสลับแดง

เจนนี ไนสตรอม ศิลปินชาวสวีเดน เป็นผู้คิดค้นรูปลักษณ์ของซานตาครอสอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน โดยวาดภาพลงในบัตรอวยพรคริสต์มาส ภาพเหล่านี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เมื่อชาวสวีเดนอีกคนชื่อ แฮดดอน ซันด์บลอม นำภาพวาดของไนสตรอมสวมชุดขาวแดง อันเป็นสีเดียวกับเครื่องหมายการต้าของโคคา-โคล่า ซันด์บลอมยังเปลี่ยนโฉมซานตาคลอสให้ทรวดทรงอ้วนท้วน และมีกวางเรนเดียร์เป็นพาหนะประจำตัว


ความเชื่อเรื่องตำนานลุงซานต้า
ตามความเชื่อซึ่งสามารถสืบย้อนไปได้ถึงคริสต์ทศวรรษ 1820 ซานตาคลอสอาศัยที่ขั้วโลกเหนือ พร้อมกับเอลฟ์มีเวทมนตร์จำนวนมากและกวางเรนเดียร์เหาะเก้าตัว (แต่เดิมมีแปด) ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 20

ในแนวคิดซึ่งทำให้ได้รับความนิยมโดยเพลง “santa claus is coming to town” ใน ค.ศ. 1934 เชื่อกันว่าซานตาคลอสทำรายชื่อเด็กทั่วโลก และแบ่งประเภทพวกเขาตามพฤติกรรม (“ดื้อ” หรือ “น่ารัก”) และมอบของขวัญ รวมทั้งของเล่นและลูกกวาดสำหรับเด็กประพฤติดีในโลก และบางครั้งส่งถ่านหินไปให้เด็กดื้อ ภายในคืนวันคริสต์มาสอีฟคืนเดียว เขาสำเร็จได้ด้วยความช่วยเหลือของเอลฟ์ผู้ทำของเล่นในโรงงาน และกวางเรนเดียร์ที่ลากเลื่อนหิมะของเขา


คนที่ทำให้ ซานตาคลอส เป็นที่นิยมในสหรัญอเมริกา
คือ ศาสนาจารย์ ชาวนิวยอร์คชื่อ Dr. Clement C. Moore เมื่อเขาเขียนนิทานสนุกๆ เรื่อง A Visit from St. Nicholas ในปี 1822 เพื่อลูกๆ ของเขา ส่วนภาพของ ซานตาคลอส ที่เป็นชายแก่ที่คุ้นหน้า ผู้มีใบหน้าสีแดงกร่ำเหมือนผลเชอรี่ จมูกแดง หนวดเคราสีขาว นัยน์ตาสดใสเป็นประกายร่าเริง ใส่ชุดแดงที่เย็บชายเสื้อด้วยขนสัตว์สีขาว และสวมหมวกสี่แดงท่าทางใจดี สะพายถุงย่ามที่เต็มด้วยของขวัญ เดินทางด้วยเลื่อนที่ลากด้วยกวาง

แอบเอาของขวัญมาให้ทางปล่องไฟ โดยใส่ไว้ในถุงเท้ายาว เป็นจินตนาการของนักวาดการ์ตูนชาวอเมริกันชื่อ โธมัส แนส ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในปี ค.ศ. 1866 เป็นครั้งแรก จนเป็นที่ยอมรับและนิยมไปทั่วโลก และกลายเป็นสัญลักษณ์ทางธุรกิจการค้าและความบันเทิงจนกลบบดบังรัศมีของซานตาคลอสตัวจริงอย่างนิโคลัสไปจนหมดสิ้น


ลุงซานต้า ที่รักของเด็กๆ 
นักบุญนิโคลัส ท่านได้กลายเป็นนักบุญอุปถัมถ์ประจำชีวิตเด็ก โดยเด็กในประเทศอังกฤษ จะเรียกคุณตาใจดีว่า “คุณพ่อแห่งวันคริสต์มาส” ( Father Christmas ), เด็กเยอรมันนีเรียกว่า “ญาติแห่งพระคริสต์ ” ( Christ Child ), เด็กชาวดัชท์เรียกว่า “ซาน นิโคลาส” หรือ “Sankt  Klous” และในที่สุดกลายเป็น “ซานตาคลอส” ติดปากเด็กๆทั่วโลก


คนแรกที่วาดภาพของ ซานตาคลอส
ในปี ค.ศ. 1866 นักวาดการ์ตูนชาวอเมริกัน ชื่อ โธมัส แนส เป็นคนแรกที่วาดภาพของ ซานตาคลอส ขึ้นมาลักษณะเหมือนที่เรา เห็นทุกวันนี้ ลงพิมพ์ในหนังสือ “Horpers Weekly” เป็นครั้งแรกใบหน้าของซานตาคลอส เป็นสีแดงอมชมพูเหมือนกลีบกุหลาบ จมูกแดงเหมือนผลเชอรี่สุก นัยน์ตาสุกใสเป็นประกาย หนวดเคราสีขาวท่าทางใจดี   ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียง ตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย คือความปิติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก  และความเป็นกันเอง

Abraham Lincoln ประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกา แต่งกลอนเรื่อง A Night Before Christmas 

ในปี 1823 Clement Clarke Moore ได้แต่งกลอนเรื่อง A Night Before Christmas และได้มีการพูดถึง ที่มาของซานตาครั้งแรกว่า มาจาก ขั้วโลกเหนือ และสีเสื้อผ้าของซานตา ถูกเปลี่ยนมาเป็นสีขาว – แดง โดย Abraham Lincoln ประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกา


มารู้จักน้ำแร่กันเถอะ?
ในปัจจุบันนี้มีความสนใจในเรื่องน้ำแร่ชนิดต่างๆที่มีผลต่อสุขภาพ โดยเฉพาะ “น้ำแร่พลังแม่เหล็ก” แต่เนื่องจากข้อมูลจากการศึกษาเท่าที่รวบรวมได้ยังมีน้อยและไม่ชัดเจน จึงขอกล่าวถึงน้ำแร่ที่ได้จากธรรมชาติ ซึ่งอาจมีหลายยี่ห้อหลายรูปแบบ แต่ก่อนที่คุณจะเลือกซื้อมาบริโภคนั้น อยากให้ได้รับข้อมูลที่น่าจะมีประโยชน์ต่อการเลือกบริโภคน้ำแร่ โดยจะนำเสนอประเภทของน้ำแร่ที่แยกตามผลที่มีต่อร่างกายและฤทธิ์ในการบำบัดโรคเป็นเกณฑ์ในการจัดประเภทน้ำแร่

ชนิดของน้ำแร่
น้ำแร่ไบคาร์บอเนต (Bicarbonate water)
มีปริมาณไบคาร์บอเนต> 600 มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยปรับให้สารคัดหลั่งที่มีฤทธิ์เป็นกรดกลายเป็นกลาง, กระตุ้นการเคลื่อนของอาหารจากกระเพาะไปยังลำไส้เล็กให้เร็วขึ้น, กระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนในกระเพาะอาหาร, ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำและเหลือแร่ให้แก่ร่างกาย จึงควรดื่มน้ำแร่นี้ 500-700 มิลลิลิตร ก่อนออกกำลังกายหรือทำงานที่ต้องเสียเหงื่อ เนื่องจากจะช่วยในการลดภาวะเลือดเป็นกรด
ตัวอย่างของน้ำแร่ชนิดนี้ ได้แก่ น้ำแร่ยี่ห้อ Volvic, Fiji, Snowy mountain เป็นต้น

น้ำแร่ซัลเฟต (Sulfate water)
มีปริมาณ ซัลเฟต > 200 มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ โดยเฉพาะในคนที่ท้องผู้กเรื้อรัง เนื่องจาก น้ำแร่ซัลเฟต มีผลแรงดันออสโมติคและ ช่วยกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนซีซีเค (CCK) เนื่องจากซัลเฟตมีผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ
ตัวอย่างของน้ำแร่ชนิดนี้ได้แก่ น้ำแร่ยี่ห้อ Pi water เป็นต้น

น้ำแร่ซัลเฟต-ไบคาร์บอเนต (Sulfate-bicarbonate waters)
ใช้รักษาภาวะที่การทำงานของถุงน้ำดีผิดปกติ, นิ่วในถุงน้ำดี, อาการหลังผ่าตัดถุงน้ำดี

น้ำแร่ซัลเฟอร์, เกลือ-ไอโอดีน, เกลือ-โบรมีน-ไอโอดีน (Sulfurous, salt-iodine, salt-bromine-iodine waters)
มักใช้กับอวัยวะภายนอกร่างกาย เช่น การอาบ หรืออาจใช้ สูดพ่นทางทางเดินหายใจบ้าง บรรเทาอาการอักเสบของระบบสืบพันธุ์เพศหญิง และบรรเทาอาการทางผิวหนังบางชนิด

น้ำแร่ซัลเฟอร์และไบคาร์บอเนต (Sulfurous and bicarbonate waters)
ใช้ในการรักษาโรคเบาหวาน โดยจะลดระดับน้ำตาล อาการกระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อย และช่วยลดความต้องการอินซูลิน นอกจากนี้น้ำแร่ไบคาร์บอเนต ยังช่วยลดภาวะเลือดเป็นกรดในผู้ป่วยเบาหวานได้

น้ำแร่คลอรีน (น้ำเกลือ) (Chlorinated water (salt water))
มีปริมาณคลอไรด์ > 200 มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยในการกระตุ้นการทำงานของลำไส้และการหลั่งสารที่เกี่ยวข้องกับน้ำและอิเล็กโตรไลท์, กระตุ้นการหลั่งน้ำดี, บรรเทาอาการท้องผูก

น้ำแร่แคลเซียม (calcium water)
มีปริมาณแคลเซียม > 150 มิลลิกรัมต่อลิตร น้ำแร่ที่มีแคลเซียมในปริมณมากเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีความต้องการแคลเซียมในปริมาณมากกว่าคนปกติ เช่น เด็ก หญิงตั้งครรภ์ สตรีสัยหมดประจำเดือน ผู้สูงอายุ และจากการวิจัยไม่นานมานี้ พบว่า แคลเซียมอาจช่วยป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงได้อีกด้วย
ตัวอย่างของน้ำแร่ชนิดนี้ได้แก่ น้ำแร่ยี่ห้อ Evian, Badoit เป็นต้น

น้ำแร่แมกนีเซียม (Magnesium water)
มีปริมาณแมกนีเซียม > 50 มิลลิกรัมต่อลิตร การมีแมกนีเซียมในน้ำแร่สูงจะช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำดี เนื่องจากมีผลในการทำให้ Oddi sphincter คลายตัว

น้ำแร่ฟลูออเรด (Fluorate water)
มีปริมาณฟลูออไรด์ > 1 มิลลิกรัมต่อลิตร

น้ำแร่เหล็ก (Ferrous water)
มีปริมาณเหล็กเฟอรัส > 1 มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยบรรเทาอาการในภาวะโลหิตจากที่เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก และใช้ในภาวะไฮโปธัยรอยด์

น้ำแร่โซเดียม (Sodium water)
ปริมาณ โซเดียม > 200 มิลลิกรัมต่อลิตร

น้ำแร่เกลือต่ำ (Low-salt water)
ปริมาณ โซเดียม < 20 มิลลิกรัมต่อลิตร

น้ำแร่คาร์บอร์นิค (Carbonic waters)
มักใช้ในการอาบ และบรรเทาอาการของหลอดเลือดส่วนปลาย

วิธีดื่มน้ำแร่ ควรทำอย่างไร?

วิธีดื่มน้ำแร่แบ่งได้ 2 วิธี คือ
1.การดื่มน้ำแร่ปริมาณมากในระยะเวลาสั้นๆ (Water loading)คือ การดื่มน้ำปริมาณ 1 ลิตร ภายใน 30 นาที ขณะท้องว่าง ซึ่งการดื่มน้ำแร่วิธีนี้จะใช้กับน้ำแร่ชนิดที่หวังผล เช่น เพื่อขับนิ่วออกจากร่างกาย วิธีนี้ไม่ควรดื่มก่อนนอน เนื่องจากจะทำให้ต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำในช่วงกลางคืน
2.การดื่มแบบทยอยในปริมาณไม่สูง (Subdivided doses) คือ การดื่มน้ำแร่ปริมาณ 500 มิลลิลิตร และ ตามด้วยน้ำแร่ 10 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยจิบน้ำครั้งละน้อยขณะอ่อนเพลีย หรือขณะเดิน หรือพร้อมมื้ออาหาร

สำหรับนักกีฬา ควรดื่มน้ำแร่ที่มีปริมาณเกลือแร่น้อยถึงปานกลาง ตลอด 2 ชั่วโมงก่อนการแข่งขัน โดยดื่ม 100-150 มิลลิลิตร ทุก 15-20 นาที และดื่ม 400-500 มิลลิลิตร 15 นาทีสุดท้ายของชั่วโมงที่ 2 หลังการอบอุ่นร่างกาย ระหว่างการแข่งขัน ควรดื่ม 200-250 มิลลิลิตร ทุก 15-20 นาที โดยปริมาณของเหลวที่ดื่มเข้าร่างกายหลังแข่งขันหรือเล่นกีฬานั้น ควรมีปริมาณร้อยละ 150 ของน้ำหนักตัว ซึ่งปริมาณของเหลวที่บริโภคโดยทั่วไป คือ 50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน

ใครไม่ควรดื่มน้ำแร่?
ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ประโยชน์จากน้ำแร่ หากดื่มไปโดยไม่ระวังอาจเป็นผลเสียต่อร่างกายได้ แล้วใครกันที่ไม่ควรดื่มน้ำแร่?

ชนิดของน้ำแร่
ผู้ที่ไม่ควรดื่มน้ำแร่
น้ำแร่
ผู้ที่บวมน้ำ ผู้ป่วยโรคไต ผู้ที่มีการทำงานของหัวใจไม่ดี
น้ำแร่ที่มีปริมาณโซเดียมสูง
 ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง
น้ำแร่เกลือโซเดียมคลอไรด์
(Sodium chloride waters)
 ผู้ที่มีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารปริมาณมาก แผลใน กระเพาะอาหารและความดันโลหิตสูง
น้ำแร่ซัลเฟอร์ (Sulfurous waters)
ผู้ป่วยที่มีโรคทางระบบทางเดินหายใจที่มีภาวะหลอดลมหดเกร็ง
น้ำแร่ไบคาร์บอเนต (Bicarbonate waters)
ผู้ป่วยที่มีภาวะ gastric hypochilia
น้ำแร่ซัลเฟต (Sulfate waters)
ผู้ป่วยที่มีโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารและมีแผลในทางเดินอาหาร


40 ข้อควรรู้ก่อนไปดูหนัง
หลายเรื่องที่ควรทำใจในการดูหนัง โปรดจดข้อความต่อไปนี้ลงในกระดาษขนาดพกสบาย (อาจจะพับก่อนพก เพื่อเพิ่มความสะดวก) และนำติดตัวไว้ด้วยเสมอ ก่อนดูหนังทุกครั้งให้หยิบออกมา อ่านอย่างละเอียด ถ้ายังทำใจยอมรับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ โปรดอย่าเข้าไปดูหนัง เพราะอาจจะทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิด อึดอัด เครียด รำคาญ ขยาด และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ถ้าคุณยอมรับได้แล้ว ทำใจได้แล้วก็ขอให้เดินเข้าไปรับความสำราญจากหนังเรื่องนั้น ๆ อย่างเต็มที่ เพื่อความสุขของส่วนรวมโปรดทำสำเนาแจกจ่ายให้กับทุกคนที่คุณรู้จักสิบคน และบอกให้เขาทำเช่นเดียวกันสืบเนื่องกันไป

1. เมื่อมีตัวละครไอ ขอให้คุณเตรียมใจว่าเขาจะตายด้วยโรคร้ายในตอนท้ายเรื่อง
2. ตำรวจจะสะสางคดีได้ก็ต่อเมื่อเขาถูกพักงานเท่านั้น
3. พระเอกจะไม่ร้องซักคำแม้จะโดนยำ โดนตื้บหนักแค่ไหน แต่ถ้านางเอกทายาที่แผลให้เมื่อไหร่ เขาจะร้องโอดโอย และในบางกรณีก็จะค้อนหนึ่งทีเป็นอย่างน้อย
4. ไม้ขีดไฟแค่ก้านเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะให้ความสว่างกับห้องทั้งห้องได้ (ไฟแช้คก็ให้ผลเช่นเดียวกัน)
5. ผ้าห่มทุกผืนถูกออกแบบให้เป็นรูปตัว "L" เพื่อให้ด้านหนึ่งคลุมไปได้ถึงหน้าอกของผู้หญิง (มักจะหนีบไว้ด้วยรักแร้) ส่วนอีกด้านหนึ่งจะปกปิดได้เพียงแค่พ้นเอวผู้ชาย(ที่นอนอยู่ข้างๆเธอ) มาหน่อยนึง
6. สืบเนื่องจากข้อที่แล้ว ในกรณีที่บริเวณนั้นไม่มีผ้าห่ม บรรยากาศรอบตัวชายหญิงคู่นั้นจะถูกปกคลุมด้วยหมอกแห่งศีลธรรม (บางที่เรียกว่า หม่องแห่งศีลธรรมก็มี) จนกว่าจะมีเสื้อผ้าติดตัว
7. ก้นผู้หญิงนั้นถือว่าโป๊ ส่วนก้นผู้ชายนั้นไม่
8. แผ่นดิสก์ทุกแผ่นสามมารถใช้ได้กับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นระบบปฎิบัติการอะไร เวอร์ชั่นไหนก็ตาม
9. ในถุงช้อบปิ้งจากซุบเปอร์มาเก็ตต้องมีขนมปังฝรั่งเศสแท่งยาวๆ 
10. หมายเลขโทรศัพท์ทุกหมายเลขในอเมริกาต้องขึ้นต้นด้วย "555" เท่านั้น
11. เราสามารถใช้เครดิตการ์ด หรือคลิบหนีบกระดาษในการสะเดาะล็อคประตูทุกบานได้เสมอ ยกเว้นในกรณีที่หลังประตูบานนั้นมีเด็กติดอยู่และไฟกำลังไหม้ท่วมตึก
12. ทุกคนที่ตื่นจากฝันร้ายจะลุกขึ้นนั่งตัวตรงเหงื่อแตกพลั่ก หอบฮั่กๆ หันมองรอบตัว
13. เกือบจะทุกครั้งที่รถคว่ำหรือชนกันอย่างแรง รถจะระเบิดอย่างรุนแรง และบางทีก็จะระเบิดซ้ำ ๆ กันสองสามครั้งจากมุมมองที่ต่างกัน
14. เมื่อตำรวจสืบคดีอะไรก็ตาม การเข้าไปหาข้อมูลในบาร์อโกโก้นั้นนับเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้และถึงแม้จะเข้าไปตอนแปดโมงเช้าไม่มีแขกมาเที่ยวซักคน บนเวทีก็ต้องมีน้องๆเต้นอยู่เสมอ (พร้อมด้วยหมอกแห่งศีลธรรม)
15. ไม่ว่าคุณพ่อจะทำงานอะไร เขาจะจำวันเกิดลูกชาย (มักจะอายุแปดขวบ) ไม่ได้เลย หรือในกรณีที่จำได้ เขาก็จะกลับมาร่วมฉลองไม่ทัน
16. ตำรวจผู้ซื่อสัตย์ และขยันขันแข็งมาตลอดชีวิตการทำงานจะถูกยิงตายก่อนเกษียณสามวัน
17. เมื่อไหร่ที่ได้เห็นกระจกบานใหญ่ ไม่ว่าจะแนวตั้งหรือแนวนอนจะมีคนถูกโยน หรือถูกถีบทะลุออกมาภายในเวลาไม่ถึงอึดใจ
18. เมื่อคุณต้องวิ่งหนีการตามล่าจากผู้ร้ายพร้อมอาวุธครบมือกลางเมืองใหญ่ ขอให้สบายใจได้ว่าจะมีขบวนพาเหรดอะไรซักอย่างมาให้คุณได้พลางตัวได้อย่างหวุดหวิด
19. ในกรณีที่ไม่มีขบวนพาเหรด ขอให้คุณกระโดดลงแม่น้ำลำคลองที่ใกล้ที่สุด กระสุนของผู้ร้ายทะลุน้ำลงไปแล้วเฉียดตัวคุณไปมา ไม่ว่าคุณจะอยู่ตื้นแค่ไหน
20. เมื่อมีเสียงลึกลับดังขึ้นมากลางดึกในบ้านผีสิง คุณผู้หญิงมักจะออกสำรวจพื้นที่ในชุดนอนโปร่งและเปิดเผยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
21. เมื่อกระสุนหมด คุณจะมีกระสุนสำรองในกระเป๋ากางเกงเสมอ แม้คุณจะไม่ได้พกมันมาด้วยก็ตาม
22. ไม่ว่าเมืองใดถ้าถูกคุกคามด้วยสัตว์ร้ายกระหายเลือดคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วเป็นสิบ นายกเทศมนตรีของเมืองนั้นจะคำนึงถึงภาพพจน์ของเมืองในฐานะเมืองท่องเที่ยว หรือไม่ก็งานแสดงศิลปะที่กำลังจะจัดในอีกสองวันเป็นอันดับแรก
23. ไม่ว่าคุณจะถูกรุมล้อมด้วยฝ่ายตรงข้ามเป็นสิบหรือมากกว่านั้น ถ้าการต่อสู้กันมีส่วนผสมของมวยจีนอยู่ ฝ่ายตรงข้ามจะเข้ามาโจมตีคุณทีละคนเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะเต้นวนไปรอบๆ รอให้เพื่อนถูกเตะก่อน
24. จะมีที่ว่างให้คุณได้จอดรถหนึ่งที่เสมอ หน้าตึกที่คุณจะต้องเข้าไป ไม่ว่าจะอยู่ในเมืองใหญ่แออัดแค่ไหนก็ตาม
25. ใครก็นำเครื่องบินลงจอดได้ ขอให้มีใครอีกซักคนที่หอบังคับการคอยแนะนำผ่านทางเฮดโฟน
26. พนักงานขับพาหนะทุกประเภท ถ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นๆ (แถวบ้านผมเรียกว่าไม่รู้อิโหน่อิเหน่) จะมีโอกาสตายเพราะลูกหลงมากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์
27. ไม่เคยมีสวิตช์ไฟในห้องครัว ถ้าต้องเข้าครัวตอนดึกการเปิดตู้เย็นเป็นหนทางเดียว ที่จะได้มาซึ่งแสงสว่าง
28. สุนัขมักจะเป็นอมตะ ยกเว้นกรณีที่ต้องข้องเกี่ยวกับสัตว์นอกโลก หรือหุ่นยนต์จากอนาคต
29. ในห้องเก็บของทุกบ้านจะมีลังเก็บของเก่า ในลังนั้นถ้าค้นอย่างตั้งใจจะไม่เจออะไรที่สำคัญ แต่เมื่อทำหล่นเมื่อไหร่ของสำคัญที่ว่าจะโผล่ออกมาเอง (ส่วนใหญ่จะเป็นข่าวการตาย อันแปลกประหลาดที่ตัดมาจากหนังสือพิมพ์)
30. ทุกเช้าคุณแม่จะเตรียม ไข่ดาว เบคอน และวัฟเฟิลไว้บนโต๊ะเสมอ ถึงแม้คุณพ่อกับคุณลูกจะไม่เคยกินเลยก็ตาม (คุณพ่อจะซดกาแฟ คุณลูกจะซดน้ำส้ม แล้วก็รีบออกจากบ้านไปทันที)
31. ลิปสติกทุกแท่งทุกยี่ห้อเมื่อได้ทาแล้วมันก็จะจะติดทนอยู่บนริมฝีปากคุณอย่างมหัศจรรย์ ต่อให้ไปลุยน้ำลุยไฟที่ไหนก็จะไม่เลือนออก
32. คนหนึ่งคนมีโอกาสยิงคนยี่สิบคนตายหมด มากกว่าคนยี่สิบคนยิงคนหนึ่งคนให้ตาย ตำรวจทุกคนจะต้องกรอกแบบฟอร์มบอกลักษณะนิสัยมอบไว้ที่กรมก่อนที่จะเข้าทำงาน เพื่อที่เมื่อไหร่ก็ตามที่จะต้องมีคู่หูคนใหม่ทางกรมจะได้เลือกผู้ที่มีนิสัยเข้ากันไม่ได้มาให้อย่างถูกต้อง
33. ข่าวในโทรทัศน์จะมีแต่เรื่องที่สำคัญต่อคุณเท่านั้น
34. ไม่ว่าจะอยู่ในตึกไหนในกรุงปารีส เราจะมองเห็นหอไอเฟลได้อย่างไม่มีปัญหา
35. ท่อแอร์ในตึกทุกแห่งเป็นที่ที่ดีที่สุดในการหนีผู้ร้าย และมันยังนำเราไปสู่ทุกที่ ในตึกนั้นได้โดยไม่มีใครสังเกต
36. ไม่ว่าเราจะตัวใหญ่แค่ไหน ท่อแอร์จะใหญ่กว่าเราเสมอ
37. เมื่อต้องจ่ายค่าแท็กซี่จงล้วงเข้าไปในกระเป๋าสตางค์แล้วหยิบเงินออกมามั่วๆ โดยไม่ต้องก้มลงไปดูเงินที่หยิบออกมาจะมีค่าเท่ากับค่าโดยสารพอดีทุกครั้งไป
38. ชาวต่างชาติจะพูดภาษาอังกฤษเท่านั้น แม้ว่าจะคุยกับคนชาติเดียวกันสองต่อสองก็ตาม
39. เลื่อยไฟฟ้าเป็นของใช้ประจำบ้านที่จะมาอยู่ใกล้ๆมือทุกครั้งที่ต้องการจะใช้ และไม่ว่าคุณจะเคยใช้มาก่อนหรือไม่ก็ตาม เพียงแค่หยิบขึ้นมาคุณก็จะใช้มันเป็นได้อย่างคล่องแคล่วทันที
40. เมื่ออยู่ในสนามรบ อย่าเอารูปแฟนขึ้นมาดู อย่าอ่านจดหมายที่ได้รับจากทางบ้าน อย่าเล่าเรื่องประทับใจในวัยเด็กให้ใครฟัง คุณจะรอดชีวิตกลับบ้านแน่นอน

นรกนั้นร้อนแค่ไหน?
ศาสตราจารย์ประจําภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกลท่านหนึ่ง ได้ออกข้อสอบวิชาเทอร์โมไดนามิกส์แก่นักศึกษาชั้นปีที่สามข้อหนึ่งเป็นลักษณะของข้อสอบการบ้าน โจทย์กําหนดว่าจงหาว่านรกนั้นร้อนแค่ไหนโดยใช้ทฤษฎีเทอร์โมไดนามิกส์อธิบาย
นักศึกษามีเวลาหนึ่งคืนในการคิดหาคําตอบ นักศึกษาส่วนใหญ่เขียนอธิบายข้อสอบโดยใช้ทฤษฎีของบอยล์แต่ไม่มีใครสามารถทําข้อสอบข้อนี้ได้คะแนนเต็มยกเว้นนักศึกษาคนหนึ่ง ลองมาดูคําตอบของนักศึกษาคนนี้ว่าเขาตอบว่าอย่างไร

วิธีทําและคําอธิบาย

ก่อนอื่นเราต้องกําหนดขอบเขตหรือที่เรียกว่า boundary condition ก่อนว่าจะตั้งสมมุติฐานเกี่ยวกับนรกที่เราจะคํานวณหาอุณหภูมิความร้อนอย่างไร

นรกต้องเป็นสถานที่ที่มีตัวตน มีขนาดหรือมวลที่รู้แน่นอน นรกนั้นต้องเป็นระบบเปิดเพราะมีการถ่ายเทเข้าหรือออกของมวล มวลที่กําหนดนั้นก็คือ วิญญาณ นั่นเอง

มีข้อพิสูจน์บางประการว่าเมื่อคนตายแล้วนําหนักตัวจะลดลงเล็กน้อย ซึ่งก็คือมวลหรือน้ำหนักของวิญญาณที่ออกจากร่างนั่นเอง มวลเข้ากําหนดให้เป็นวิญญาณที่ตายแล้วตกนรก ส่วนมวลออกก็คือวิญญาณที่ใช้กรรมในนรกเสร็จแล้ว พลังงานสามารถผ่านเข้าออกจากนรกได้เพราะว่าวิญญาณนั้นมีพลังงานอยู่ ตัวแปรที่สําคัญอีกอย่างคืออัตราการไหลเข้าออกของวิญญาณ ในนรกนั้นว่ามีมากน้อยเพียงไร การที่คนเราตายไปแล้วจะตกนรกหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของความเชื่อทางศาสนา ศาสนาบางศาสนามีข้อบัญญัติว่าหากใครไม่ได้นับถือศาสนาตน คนๆ นั้นต้องตกนรก และคนที่ตกนรกเพราะไม่ได้นับถือศาสนาดังกล่าวก็มีข้อกําหนดทางศาสนาของเขาอีกว่า ศาสนาที่บัญญัติให้คนที่ไม่ได้นับถือศาสนาตนต้องตกนรกนั้นเปรียบเสมือนซาตานและคนที่นับถือซาตานจะต้องตกนรก สรุปแล้วถ้าในโลกมีศาสนาที่ขัดแย้งกันทุกคนบนโลกก็ตกนรกหมด ดังนั้นเราจึงสรุปจากสมมุตติฐานนี้ได้ว่าวิญญาณทุกดวงไปลงนรกหมด และวิญญาณทุกดวงที่ตกนรกไปจะไม่ได้ไปผุดไปเกิดเพราะการที่เป็นพวกนอกศาสนากับเป็นซาตานนั้นถือบาปหาบุญ

จากนั้นเราใช้กฎของบอยส์ที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาตรของระบบที่ขยายหรือหดตัวกับมวลและพลังงานที่เข้าหรือออกจากระบบ ดังนั้นจึงสามารถแบ่งสมมุติใหม่ออกได้เป็นสามข้อคือ

1.หากนรกนั้นมีมวลและพลังงานที่มากับวิญญาณเพิ่มเข้าไปโดยที่ระบบหรือนรกขยายตัวออกได้เร็วไม่ทัน นรกนั้นจะมีความหนาแน่นและมีความร้อนมหาศาลจนถึงจุดหนึ่งนรกจะระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
2.หากการขยายตัวของนรกนั้นเท่ากับอัตราการเพิ่มขึ้นของมวลและพลังงาน นรกจะมีอุณหภูมิเท่ากับอุณหภูมิตอนที่นรกถือกำเนิดขึ้นมา และคงสภาพนั้นตลอดกาล
3.หากนรกขยายตัวได้เร็วกว่าอัตราการเข้ามาของมวลและพลังงานจะทําให้อุณหภูมิของนรกลดลงเรื่อยๆ จนทุกอย่างอยู่ที่อุณหภูมิศูนย์องศาสมบูรณ์ 273.15 องศาเซลเซียส หรือที่เรียกว่า Hell Freeze Over




20 ความจริงเกี่ยวกับเจ้าตูบที่คุณอาจไม่รู้


1. สุนัขเป็นสัตว์เลี้ยงของคนมาตั้งแต่ 15,000 ปีที่แล้ว และมันก็ได้รับการขนานนามว่าเป็นเพื่อนซี้ของคนมานานแล้วเช่นกัน
2. สุนัขเป็นตัวตรวจจับมะเร็ง เบาหวาน และลมบ้าหมูได้เป็นอย่างดี เพราะจมูกที่สุดแสนจะอัจฉริยะของมัน ทำให้ปัจจุบัน สุนัขหลายตัวถูกนำมาฝึกเพื่อดมกลิ่นมะเร็งปอด หน้าอก ผิวหนัง และต่อมลูกหมากโดยเฉพาะ
3. สุนัขสามารถรู้อะไรได้เทียบเท่ากับเด็ก 2 ขวบ โดยจากงานวิจัยพบว่า สุนัขเข้าใจคำพูดคนถึง 200 คำ 
4. สุนัขพันธุ์ที่ฉลาดที่สุด ได้แก่ พุดเดิ้ล เยอรมันเชพเพิร์ด โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ และโดเบอร์แมน
5. รูปทรงของใบหน้าสุนัขสามารถบอกได้ว่ามันมีอายุยืนยาวแค่ไหน โดยสุนัขที่มีหน้าเรียวแหลม และยาว มีแนวโน้มจะมีอายุยืนกว่าสุนัขที่มีหน้าสั้น บู้บี้
6. ชายผู้เลี้ยงสุนัขมากที่สุดในโลก คือนายคิวบลา คาน ผู้มีสุนัขมาสทิฟส์ในอาณัติกว่า 5,000 ตัว
7. ชื่อสุนัขตัวผู้ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในต่างประเทศ คือ แม็กซ์ และเจค ส่วนชื่อสุนัขตัวเมียนั้น คือ แม็คกี้ และมอลลี่
8. ลูกสุนัขแรกเกิดจะตาบอด หูหนวก และไม่มีฟันสักซี่
9. สุนัขมักจะเข้าใจว่า เวลาคนยิ้มแย้มนั้น พวกเขากำลังแยกเขี้ยว ซึ่งเป็นพฤติกรรมของการบุกรุก
10. โลกใบนี้มีประชากรสุนัขราว 400 ล้านตัว
11. ลายจมูกของสุนัขแต่ละตัวนั้น จะไม่มีทางซ้ำกันเลย เปรียบเสมือนกับลายนิ้วมือของคนนั่นเอง
12. แม่สุนัขใช้เวลาตั้งท้องประมาณ 2 เดือน จึงให้กำเนิดลูกสุนัข
13. สุนัขที่โตเต็มที่ มีฟันทั้งหมด 42 ซี่
14. อเมริกาเป็นประเทศที่มีประชากรสุนัขมากที่สุดในโลก โดยชาวอเมริกันที่เลี้ยงสุนัข มีมากถึง 1 ใน 3 ของจำนวนประชากรในประเทศเลยทีเดียว
15. 94% ของเจ้าของสุนัข ยอมรับว่าสุนัขในอาณัติทำให้พวกเขายิ้มได้มากกว่าวันละ 1 ครั้ง
16. สุนัขเป็นสัตว์ชนิดแรกที่มนุษย์นำมาฝึกให้เชื่อง
17. สุนัขไม่ชอบเสียงฝนตก เพราะรบกวนโสตประสาทที่ไวต่อเสียงของมันมาก
18. สุนัขพันธุ์บาเซ็นจิ เป็นสุนัขพันธุ์เดียวในโลกที่ไม่เห่า ทำได้แค่ส่งเสียงคำรามสั้น ๆ ในลำคอเท่านั้น
19. สุนัขตัวเล็กมีแนวโน้มอายุยืนกว่าสุนัขตัวใหญ่ โดยสามารถมีอายุได้ถึง 16 ปีหรือมากกว่านั้น ขณะที่สุนัขตัวใหญ่ ๆ จะมีอายุขัยเฉลี่ยประมาณ 8-15 ปีเท่านั้น อย่างไรก็ดี มีสุนัขตัวใหญ่ที่อายุยืนกว่าอายุขัยเฉลี่ยถมเถไป
20. สุนัขที่อายุยืนที่สุดที่กินเนสส์บุ๊กบันทึกไว้ คือเจ้าบลูอี้ สุนัขพันธุ์ออสเตรเลียน แคตเทิล ซึ่งมีอายุยืนถึง 29 ปี

อาการบ้า Harry Potter 126 ประการ

1. คุณพยายามเอามีดมากรีดหน้าผากให้เป็นรูปสายฟ้า 
2. คุณพยายามหาสถานีที่9เศษ3ส่วน4 ที่สถานีรถไฟ 
3. คุณแทบจะวิ่งหนีเมื่อมีคนส่งจดหมายสีแดงมาให้ 
4. คุณได้รับจดหมายที่เขียนด้วยหมึกสีมรกต คุณจะดีใจมากที่จะได้ไปเรียนเวทมนตร์ 
5. คุณพยายามที่จะเคาะกำแพงเพื่อไปยังตรอกไดแอกอน 
6. คุณพยายามเสกถ้วยชาให้กลายเป็นหนู 
7. คุณหาเรื่องซื้อนกฮูกมาฝึกเพื่อให้มันส่งจดหมายได้ 
8. คุณและบุคคลบางคนไว้ในฐานที่เข้าใจ เช่น “คุณก็รู้ว่าใคร” 
9. คุณพบว่ามีคนแหกคุกออกมาเพื่อที่จะพยายามฆ่าคุณ 
10. คุณสามารถใช้เสื้อคลุมล่องหนไปไหนต่อไหนก็ได้ 
11. คุณพบว่ามีร้านขายขนมที่อร่อยที่สุด “ฮันนี่ดุกส์” 
12. คุณมีไม้กวาดเล่นควิดดิชได้ 
13. คุณไประหว่างชานชาลาที่ 9 และ 10 แล้วคุณก็เดินไปที่กำแพงเพื่อที่จะผ่านมัน 
13.1 แต่เมื่อคุณทำไม่ได้ คุณจะร้องบอกว่า “เอาอีกแล้วนะ ด็อบบี้” 
14. คุณเรียกชื่อเพื่อนว่าเฮอร์ไมนี่ และ รอน 
15. คุณเขียนชื่อตัวเองว่า แฮร์รี่ 
16. คุณเริ่มร่างทรงเป็นผีตัวต่าง ๆ แต่ก่อนคุณอาจเป็นร่างให้กับเทวดา เจ้าที่ 
17. คุณนึกว่า ทักษิณ เป็น คอร์นีเลียส ฟัดจ์ 
18. คุณพยายามจะแต่งมอเตอร์ไซค์คันโปรดให้บินได้ 
19. คุณเสียเงินไปมากกับการแต่งรถยนต์ให้บินได้ 
20. คุณพยายามไปหาต้นอ่อนหรือเมล็ดพันธ์ของต้นวิลโลว์ตามสวนจตุจักร 
21. คุณเริ่มเอาผ้าเช็ดตัวหรือผ้าห่มมาทำเป็นผ้าคลุม 
22. คุณคิดว่าเครื่องดูดฝุ่นที่บ้านคงขี่ได้เร็วกว่าไฟร์โบลต์ 
23. คุณจะแหกปากเวลาพูดโทรศัพท์ เพราะกลัวว่าเสียงจะไปไม่ถึง 
24. คุณไม่กลัวผี เพราะเป็นเรื่องปกติของฮอกวอตส์ 
25. คุณเริ่มทำประตูบ้านให้เป็นรูปภาพ และต้องบอกรหัสก่อนเข้า 
26. คุณแคะขี้หูตัวเองมากินด้วยความอยากรู้ว่ารสชาติที่ดัมเบิลดอร์เคยกินมันเป็นยังไง 
27. คุณเอาไม้กวาดมาขี่แล้วพยายามทำให้มันเหาะได้จนคุณแม่คุณตกใจ 
28. คุณพยายามให้โรงเรียนมีแข่งควิดดิช 
29.1 ในกรณีเดียวกัน ถ้าคุณเห็นหมาป่า หนู หรือกวาง พวกเขาเหล่านี้ก็คือลูปิน 
ปีเตอร์ และเจมส์นั่นเอง 
30. คุณย้อมผมให้เป็นสีแดง ทำหน้าให้ตกกระ แล้วหาเพื่อนผมยุ่ง ๆ ใส่แว่น 
31. คุณเรียกพี่ชายจอมเก็กของคุณว่าเพอร์ซี่ 
32. คุณตะโกนว่า น็อกซ์ เวลาปิดไฟนอน 
33. คุณพยายามทำให้หมวกที่บ้านเก่าที่สุดและร้องเพลงได้ 
34. คุณจะพยายามหลบแสงจันทร์ให้มากที่สุดทุกครั้งที่พระจันทร์เต็มดวงเพื่อไม่ให้กลายร่าง 
35. คุณเริ่มแทนตารางสอนวิชาต่าง ๆ ใหม่ 
เคมี = วิชาปรุงยา 
ชีววิทยา = ดูแลสัตว์วิเศษ 
ฟิสิกส์ = ดาราศาสตร์ 
ภาษาอังกฤษ,ภาษาไทย = อักษรรูนโบราณ 
สังคม = มักเกิ้ลศึกษา 
คณิตศาสตร์ = ตัวเลขมหัศจรรย์ 
36. คุณกลัวว่าคนในรูปภาพในข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์จะขยับเองได้ 
37. คุณพยายามทำแว่นตาให้หักตรงกลาง เพื่อจะได้เอาเทปใสมาแปะ 
38. คุณพยายามปิดไฟทั้งซอยด้วยไฟแช็ก 
39. คุณใช้แมวหนึ่งตัวเพื่อไล่จับพ่อมดแอนนิเมจัส 
40. คุณพยายามหาลูกอมทุกรสของบอเบอร์ตี้ กบช็อกโกแลต ตามร้านขายของชำข้างบ้านคุณ 
41. คุณมีตัวโนมอยู่เต็มสวนหลังบ้านแล้วใช้แมวไล่จับมัน 
42. คุณนอนตายอยู่ในห้องพักครูแล้วเอาแต่วิญญาณไปสอนนักเรียนในวันรุ่งขึ้น 
43. คุณพยายามอุดหูเวลาถอนต้นไม้เพราะกลัวตายถ้าได้ยินเสียงมันกรีดร้อง 
44. คุณพยายามหาบ้านในฮอกวอตส์สิงสถิตย์ 
45. คุณอาจจะใส่สีเขียวทั้งตัวถ้าคุณชอบสไลธีริน 
46. คุณนั่งวาดการ์ดพ่อมดแม่มดสะสมเก็บเอาไว้ 
47. คุณนั่งวาด Fanart 
48. คุณแต่ง Fanfic 
49. คุณทักอาจารย์ใหญ่โรงเรียนคุณว่า “สวัสดีครับศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์” 
50. คุณรณรงค์ให้โรงเรียนเปลี่ยนตราเป็นรูปสิงโต นกอินทรี แบดเจอร์ และงู 
ล้อมรอบตัว ฮ ตัวใหญ่ 
51. คุณรณรงค์ให้โรงเรียนเปลี่ยนสีประจำโรงเรียนเป็นสีม่วง 
52. คุณวิ่งหาธนาคารกริงกอตส์เมื่อจะฝากเงิน 
53. คุณพยายามอ่านหนังสือทุกเล่ม แล้วยกมือทุกครั้งเมื่ออาจารย์ถาม 
(และถ้าอาจารย์คนนั้นบ้าแฮร์รี่เช่นกันเขาก็จะไม่เรียกคุณ) 
54. คุณหน้าแดงเมื่อเห็นเด็กผู้ชายใส่แว่นผมไม่หวี 
55. คุณวิ่งหนีผู้หญิงแขกเพราะคิดว่าเป็นผู้คุมวิญญาณ 
56. คุณถือไม้เรียวของแม่แล้วบ่นพึมพำ 
57. คุณจะกลัวเมื่อเห็นอะไรขยับแล้วจ้องมองมาจากที่มืด 
58. คุณส่องกระจกแล้วควานหาศิลาถรรพ์ในกระเป๋า 
59. คุณไม่กล้าออกจากบ้านในวันลอยกระทง 
60. คุณพยายามปราบโทรลล์ด้วยตนเอง 
61. คุณคงจะหามันเจอหรอก 
62. คุณพยายามร่ายคาถาสาปคนที่กวนคุณ 
63. คุณเผลอร้องออกมาว่า ลูมอส ตอนไฟดับ 
64. คุณเกลียดครูคนไหน คุณจะเรียกเขาว่าสเนป 
65. คุณขู่ฟ่อ ๆ อยู่หน้าก็อกน้ำบ้านคุณ 
66. คุณพูดว่า “วิงการ์เดียม เลวีโอซา” หรือ “อคิโก” เมื่อจะหยิบของ 
67. คุณเห็นด้ามไม้กวาดเขียนว่า ไฟร์โบลต์ หรือ นิมบัส 2001 
68. คุณพยายามทำหัวเพื่อนรักของคุณให้เป็นสีแดง และทำให้หน้าของเขามีกระ 
69. คุณหาไม้มาเสกกาน้ำชาให้เป็นกบ 
70. คุณเห็นแมวข้างบ้านมีลายกรอบแว่นตา 
71. คุณถามหาฟิล์มที่ถ่ายรูปแล้วรูปขยับได้มี่ร้านถ่ายรูป 
72. คุณเรียกหนูสีเทาว่าสแคบเบอร์ เรียกนกฮูกหิมะสีขาวว่าเฮ็ดวิก 
เรียกแมวสีส้มว่าครุกแชงก์ 
73. คุณรินน้ำชาให้คุณยาย แล้วรอให้คุณยายกินเสร็จเพื่อทำนายกากใบชา 
73.1 น้องหรือพี่ของคุณจะถาม “ดูอยู่ได้ เอาไปทิ้งเหอะ บ้าปล่าว” 
73.2 คุณตอบว่า “ไม่รู้เรื่องเลยหรือไง ฉันกำลังทำนายดวงชะตาจากกากใบชาอยู่” 
73.3 คุณและน้องหรือพี่ก็จะทะเลาะกันจนถึงขั้นสงคราม 
73.4 คุณได้แผลเป็นบนหน้าผาก 
74. คุณพูดรหัส ประโยค วลีต่าง ๆ หน้ารูปในบ้านของคุณเพื่อให้มันเปิดออก 
75. คุณเจอรายการแข่งขันฟุตบอล คุณจะพูดว่า “เกมอะไรก็ไม่รู้ 
ควิดดิชมันกว่าตั้งเยอะ” แล้วปิดทีวี 
76. คุณพยายามจับนกฮูกมาใส่กรง และพยายามทำให้มันส่งจดหมายให้คุณให้ได้ 
77. คุณเล่นดนตรีเพื่อให้สุนัขที่ขวางหน้าบ้านหลับ 
78. คุณพยายามเสกผู้พิทักษ์ด้วยไม้ตะพดด้ามใหญ่ ๆ เมื่อไม่สำเร็จ 
คุณจะเป็นลมและเมื่อตื่น คุณจะยัดช็อกโกแลตก้อนใหญ่ใส่ปาก 
79. คุณพยายามให้ช่างตัดผมทำผมของคุณให้ยุ่งเหยิงเหมือนแฮร์รี่ 
80. คุณพยายามเสกไม้กวาดให้บินได้อยู่เรื่อย ๆ 
81. คุณพยายามเขย่ารูปทุก ๆ รูปเพื่อให้คนในรูปขยับได้ 
82. 
คุณกระโดดโลดเต้นเมื่อพบไม้กวาดด้ามใหม่ใต้เตียงตอนตื่นนอนถึงแม่จะให้เอาไม้กวาดนั่นไปกวาดบ้าน 
83. คุณร้อง ริดดิคูลัส ทุกครั้งที่เปิดตู้เสื้อผ้า 
84. คุณพยายามใช้คาถา ลูมอส กับน้ำทุกชนิดเพื่อดูว่ามีอะมีบากินสมองอยู่หรือเปล่า 
85. คุณร้องขอโกโก้เย็นกับผ้าปูเตียงบนรถ ขสมก. 
86. คุณเริ่มจัดเตรียมหิ้งบูชา กระถางธูป ดอกกุหลาบ 
และช็อกโกแลตก้อนใหญ่ก่อนวันวาเลนไทน์ เพื่อบูชาแฮร์รี่ที่รักยิ่ง 
87. คุณผวาเมื่อเจอสุนัขสีดำบนถนนตอนกลางคืน 
88. คุณไม่เอ่ยชื่อคนที่คุณรู้ว่าใคร 
89. คุณซื้อ “แฮร์รี่ พอตเตอร์ แอนด์ เดอะ ก็อบเล็ต ออฟ ไฟร์” มารองหัวตอนนอน 
และเมื่อ”แฮร์รี่ พอตเตอร์ แอนด์ ดิ ออร์เดอร์ ออฟ เดอะ ฟินิกซ์” 
ออกคุณก็จะทำเช่นกัน 
90. คุณกลัวสุนัขสีดำ 
91. คุณพยายามหนีออกจากบ้านลุงและป้าของคุณ 
92. คุณเรียกอาจารย์ขี้เก็กของคุณว่าล็อกฮาร์ท 
93. คุณพยายามโยนผงอะไรสักอย่างลงไปในเตา แล้วตะโกนว่า “ตรอกไดแอกอน” 
94. คุณพยายามเรียกรถเมล์ด้วยไม้เรียวของแม่ 
95. คุณเรียกเด็กผู้ชายใส่แว่นทุกคนว่าแฮร์รี่ 
96. คุณเรียกอาจารย์ห้องพยาบาลว่ามาดามพรอมฟรีย์ 
97. คุณเห็นคนผมแดงเป็นคนในครอบครัววีสลีย์ 
98. คุณรู้สึกว่าไม่มีอาจารย์คนไหนดีกว่าศาสตราจารย์ลูปิน 
99. คุณจะเข้าห้องน้ำก็ต่อเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครมาคร่ำครวญ 
100. คุณเรียกยางลบสีแดงว่ายางลบเผยความลับ 
101. คุณเอานิ้วจิ้มพยายามให้คนในรูปขยับ 
102. คุณค้นลิ้นชักภารโรงหาแผนที่ตัวกวน 
103. คุณพิมพ์งานเอกสารทุกชนิดด้วยแบบอักษรลูมอส 
(ดาวน์โหลดได้จากเว็บแฮร์รี่พอตเตอร์ทั่วไปนะจ๊ะ) 
104. คุณอ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์ วันละ 1 หน้า(กลัวจบ) 
104.1 และเมื่อถึงเล่มท้าย ๆ คุณจะอ่านวันละ 1 บรรทัด 
104.2 และเมื่อถึงเล่มสุดท้าย คุณจะอ่านวันละ 1 คำ 
105. คุณเห็นแขกโพกหัวกำลังจะถอดผ้าโพกออก แล้วคุณตะโกนว่า “อย่า พวกคุณหลบไป 
ควีเรลล?จะพาคนที่คุณก็รู้ว่าใครออกมาแล้ว 
106. คุณคุยกับสมุดบันทึก 
107. คุณขู่นานมีบุคส์ว่า “ถ้าไม่ออกแฮร์รี่เล่ม 4 ภายในวันพรุ่งนี้ 
ฉันจะร่ายคาถาใส่” 
108. คุณเขียนจดหมายไปสมัครเรียนที่ฮอกวอตส์ 
109.คุณพยายามสลับชื่อภาษาอังกฤษของเพื่อนว่ามีใครบ้างที่เกี่ยวข้องกับลอร์ดโวลเดอมอร์และถ้าคุณพบ คุณจะไม่เรียกชื่อเขาอย่างเดิมอีกเลย 
110. คุณไม่ยุ่งกับนกในกรงห้องครูใหญ่ เพราะกลัวว่ามันจะลุกเป็นไฟ 
111. คุณบอกกับพ่อแม่ว่า “พ่อครับ/ขา 
ขอให้ผม/หนูได้ลงไปอยู่ในห้องใต้บันไดนะครับ/คะ” 
112. คุณบอกกรมตำรวจว่าให้เอาพวกฆ่าข่มขืนทำชั่วทั้งหลายไปเข้าคุกอัซคาบัน 
113. คุณพูดกับคุณป้าร้านหนังสือว่า “เดลี่พรอเฟ็ตหมดแล้วเหรอ” 
114. คุณบอกใคร ๆ ว่า E-OWL ของฉันคือ… 
115. คุณเปิดสมุดโทรศัพท์หน้าเหลืองหาเบอร์โทรศัพท์ร้านหม้อใหญ่รั่ว ไม้กวาดสามอัน 
ฯลฯ 
116. คุณใส่ผ้าคลุมไปโรงเรียน 
117. คุณเปลี่ยนชื่อเป็น แฮร์รี่ 
118. คุณเปลี่ยนนามสกุลเป็น พอตเตอร์ 
119.คุณเริ่มไม่แน่ใจว่าจะเรียกช่างประปามาดีไหมเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆดังมาจากท่อน้ำของบ้าน 
120.คุณพยายามจะเลี้ยงไก่ให้มากที่สุด เพื่อว่าเสียงขันจะช่วยได้ 
121.เมื่อคุณเดินเข้าร้านเสื้อผ้าแล้วบอกว่า "ขอเครื่องแบบฮอกวอตต์" 
122.เมื่อคุณเปลี่ยนเสื้อพละของคุณให้มีเสื้อคลุมสีแดงสด(ถ้าชอบกริฟฟินดอร์) 
123.คุณยกมือตอบทุกคำถามของอาจารย์ (ทั้งๆที่ก็ม่ายได้รู้เท่าไรเล้ย) 
124.คุณจะดีใจมากที่จับฉลากกีฬาสีได้สีแดง 
125.เวลาคุณดูฟุตบอลคุณจะบอกว่าควิดดิชหนุกกว่าตั้งเยอะ 
126.คุณพยายามใช้คาถาผูกขากับน้องของคุณเอง



15 เกร็ดน่ารู้จาก Harry Potter

1.แฮร์รี่ พอตเตอร์ ตีพิมพ์ออกมาแล้ว 4 ภาค โดยที่เจ เค โรว์ลิ่ง วางพล็อตเรื่องไว้ 7 ภาคจบ ขายได้เป็นจำนวนมากมายมหาศาลถึง 110 ล้านเล่มทั่วโลก ถูกแปลเป็นภาษาต่างๆมากกว่า 40 ภาษาตั้งแต่ภาษาอัลบาเนียนถึงภาษาซูลู ในภาคที่เป็นภาพยนตร์คือ Harry Potter and the Philosopher's Stone หรือแฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ใช้งบประมาณในการสร้างทั้งหมด 125 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และถูกฉายในประเทศต่างๆโดยพากย์เสียงทับเป็นภาษาต่างๆถึง 24 ภาษาและเข้าฉายแบบมีซับไทเทิลภาษาอังกฤษใน 16 ประเทศ 

2. เจ เค โรว์ลิ่ง ต้องเขียน แฮร์รี่ พอตเตอร์ ภาคแรกในร้านกาแฟที่ชื่อนิโคลสัน ในเมืองเอดินเบอระ สก็อตแลนด์ เนื่องจากที่แฟลตที่เธออยู่นั้นแคบและชื้นจนเกินกว่าที่จะเขียนหนังสือได้ 
3.มีข่าวว่าจริงๆ เจเค.เขียน แฮร์รี่ พอตเตอร์เล่ม 7 ไปแล้ว โดย แฮร์รี่ พอตเตอร์ในตอนสุดท้ายจะมีอายุ 17 พอดี ข่าวลือก็ละเอียดถึงขนาดที่ว่าคำจบสุดท้ายของหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ก็คือคำว่า Scars หรือแผลเป็นนั่นเอง โดยเนื้อหาของตัวเรื่องจะเน้นเรื่องความรักเร่าร้อนแบบหนังสือวัยรุ่น แต่ไม่โป๊
4. วันเกิดของเจ เค โรว์ลิ่งคือวันที่ 31 กรกฎาคม เป็นวันเดียวกับที่แฮร์รี่ พอตเตอร์เกิด และยังไม่พอ ดาเนียล แรดคลิฟฟ์ดาราเด็กที่แสดงเป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์ในหนังนั้นก็เกิดวันที่ 31 กรกฎาคม เช่นเดียวกัน 
5. เบอร์ตี้ บอตต์ เยลลี่เม็ดทุกรสที่สร้างความแหวะให้กับผู้อ่านเพราะมีกระทั่งรสอ้วกและรสขี้หู จะถูกผลิตขึ้นมาจริงๆโดยบริษัทJelly Bellys และ Cap Candy โดยมี รสหญ้า,รสพริกไทยดำ,รสปลาซาร์ดีน แถมรสขี้มูกและรสอ้วกจริงๆแต่จะถูกคละกันมาในถุงสีแดงสดที่จะมีเยลลี่ทั้งหมด 38 รส 
6. ชื่อหอพักของเด็กๆในโรงเรียนฮอกวอตส์ ที่มีความหมายดีอย่าง กริฟฟินดอร์ บ้านฮัฟเฟิลพัฟ บ้านเรเวนคลอ และบ้านสลิธีริน ถูกนึกขึ้นมาได้ขณะ เจเค.นั่งเครื่องบินอยู่ ชื่อทั้งหมดถูกบันทึกบนถุงอาเจียน 
7. ร็อบบี้ โคลเทรน ผู้รับบทรูเบอัส แฮกริดชายร่างยักษ์ผู้ใจดี เคยทำงานเป็นคนขับรถของผู้กำกับมาร์ติน สกอร์เซซี่ ผู้กำกับจอมซาดิสต์ที่ผลิตหนังมันส์ๆอย่าง Taxi Driver Raging Bull Casino ฯลฯ
8. มีเด็กทั้งชาวอังกฤษและอเมริกันเข้ามาทดสอบบทแฮร์รี่ พอตเตอร์เป็นจำนวนมากถึง 16,000 คน แต่เมื่อโรว์ลิ่งได้เห็นวิดีโอเทปของดาเนียล แรดคลิฟฟ์ที่เข้ามาทดสอบบท เดวิด เฮย์แมนโปรดิวเซอร์ของหนังเรื่องนี้กล่าวว่า "เจ เค ทำท่าดีใจและตื่นเต้นเหมือนกับเจอลูกชายในไส้ที่หายตัวไปเป็นเวลานาน" 
9. อัลบั้มล่าสุดของ เจอรี่ ฮิลลิเวลล์ ที่ชื่อ Scream If You Wanna Go Faster มีเพลงเหนึ่งที่สาวซ่าคนนี้แต่งขึ้นจากแรงบันดาลใจที่ได้อ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์ เพลงนี้ชื่อว่า Circles Round the Moon แถมเจอรี่ยังบอกด้วยว่า เพลงนี้น่าจะถูกเลือกให้เป็นเพลงนำในเรื่องด้วย แต่เธอต้องกินแห้วเพราะซาวด์แทร็คเป็นงานที่ออกโดย วอร์เนอร์ มิวสิค ขณะที่เจอรี่สังกัดอีเอ็มไอ 
10. ที่ออสเตรียมีการตั้งโรงเรียนเพื่อสอนเรื่องของพ่อมด-แม่มดจริงๆที่ชื่อ Hexenschule โดยเรียนหลักสูตรทั้งหมด 6 เทอม เปิดสอนวิชาร่ายมนตร์ ผสมยาพิษ วิชาธรรมชาติวิทยา ดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ การนั่งสมาธิ และ การพยากรณ์ โดยมีและผู้ที่เรียนจบจะได้ประกาศนียบัตรวิชาเวทย์มนตร์ด้วย 
11. สตีเวน สปิลเบิร์ก ผู้กำกับมือทองเป็นคนแรกที่ได้รับเลือกให้มากำกับหนังเรื่องนี้ แต่กลับปฏิเสธ เพื่อไปทำเรื่อง A.I Artificial Intelligence แทนเนื่องจากสปีลเบิร์กอยากให้เจ้าหนูคู่บุญที่ชื่อ ฮาร์ลี่ โจเอล ออลเมนต์ รับบทเป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์ ในขณะที่เจ เค โรว์ลิ่งผู้เขียนหนังสือเรื่องนี้ยืนยันเสียงแข็งที่จะให้เด็กอังกฤษเท่านั้น 
12. กีฬาพ่อมด - แม่มดที่เรียกว่า ควิดดิช ซึ่งเป็นกีฬาที่ผสมผสานกันระหว่างบาสเก็ตบอลและฟุตบอล โดยผู้เล่นจะแบ่งเป็นสองทีมโดยแข่งกันขี่ไม้กวาดความเร็วสูง แย่งกันทำประตู ฉากควิดดิชที่เห็นในหนังเพียง 9 นาทีเศษนั้นใช้เวลาวางแผนทั้งหมด 3 เดือนและใช้เวลาถ่ายทำอีก 6 เดือนจึงจะเสร็จสมบูรณ์ 
13. หลังจากที่ภาคแรกถ่ายทำเสร็จสิ้นสมบูรณ์และลงโรงฉายไปแล้วทั้งอังกฤษและอเมริกา การถ่ายทำภาคสองก็เริ่มต้นขึ้นแล้วที่ประเทศอังกฤษ และบทภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ภาค 3 Harry Potter and the Prisoner of Azkaban หรือแฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบันก็กำลังเร่งเขียนอยู่ และแว่วๆมาว่าภาค 4 ของหนังเรื่องนี้คือ Harry Potter The Goblet of Fire หรือแฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนีที่มีความยาวถึง 734 หน้านั้นทางผู้สร้างเห็นว่าควรจะสร้างเป็น 2 ภาคมากกว่าโดยภาคแรกมีกำหนดฉายในเทศกาลขอบคุณพระเจ้าในเดือนพฤศจิกายนปี 2004 และตอนสองจะออกฉายในเดือนธันวาคมปีเดียวกันช่วงเทศกาลคริสต์มาส 
14. หนังเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ สร้างปรากฏการณ์ไม่ธรรมดาหลายอย่างเช่น ไม้กายสิทธิ์ อาวุธคู่มือของแฮรี่ที่ใช้ในการถ่ายทำหนังถูกแฟนๆแฮร์รี่ พอตเตอร์แย่งกันประมูลจำนวนสองอันในราคาถึง 18,000 เหรียญ เป็นของประกอบฉากที่ถูกแฟนๆประมูลไปด้วยราคาสูงที่สุด ซึ่งฉากที่ดูธรรมดาๆ ไม่มากไปกว่าภาพยนตร์ย้อนยุคทั่วไปอย่างโรงเรียนฮอกวอตส์ ทีมงานกล่าวว่า พวกเขา ใช้ปูนไปมากกว่าที่ลงทุนทำฉากในเรื่อง Gladiator ใช้เสียอีก 
15. หนังเรื่อง Harry Potter ทำให้ยอดขายแว่นตาในอังกฤษเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากรายงานของผู้ทำธุรกิจร้านแว่นในอังกฤษพบว่าเด็กๆวัย 8-9ปีต่างพากันตบเท้าเข้ามาวัดสายตามากขึ้น เด็กทุกคนให้เหตุผลที่ตัวเองอยากใส่แว่นเหมือนๆกันหมดว่าเป็นเพราะพวกเขาอยากจะเหมือนกับแฮร์รี่ พอตเตอร์ 


Bonjour
Je m'appelle Sangsiri. J'ai 16 ans. Je suis éléve de français en premiere à l'école Rachineeburana à Nakhonpathom. Je viens de Nakhonpathom. J'aime le chocolat et le weekend. Je n'aime pas le cinema et l'anglais. Je voudrais être journaliste,parce que j'aime regarder la télévision et les journaux.


8 กีฬาช่วยเพิ่มความสูง

1. แทรมโปลีน

เป็นอุปกรณ์สำหรับการฝึกกระโดนขึ้น-ลงตัวอุปกรณ์มีลักษณะเป็นเส้นใยที่ทอเป็นพิเศษ แล้วยึดติดกับฐานของอุปกรณ์อย่างแข็งแรงทุกด้านเพื่อรองรับแรงจากการกระโดด ของผู้เล่น การกระโดดบนแทรมโปลีนจะช่วยให้เกิดการยึดของกล้ามเนื้อและกระดูกในแนวตั้ง โดยเฉพาะช่วงขาอย่างแท้จริงแนะนำให้กระโดด 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 20-30 นาที



2. กระโดดเชือก

เป็นการออกกำลัง การแบบคาร์ดิโอที่ส่งผลดีต่อการหลั่งฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโตและยัง สามารถช่วยกระตุ้นความสูงผ่านแรงกระแทกที่ส่งมาจากฝ่าเท้าโดยตรง



3. โหนบาร์

โดดเด่นตรงที่ทำให้กระดูกสันหลังตรงและสามารถยืดยาวออกไป จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุยังน้อยเพราะทำได้ง่ายและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย



  1. โยคะ
โยคะ แต่ละท่าย่อมส่งผลต่อกระดูกและกล้ามเนื้อที่แตกต่างกันออกไป เช่น ท่ายืดขา ก็จะช่วยยืดกล้ามเนื้อที่ขาทั้งสอง หรือท่างูจงอาง ที่ช่วยยกลำตัวขึ้นจากพื้น โดยคุณต้องนอนคว่ำให้ลำตัวและหน้าอกขนานแตะพื้น จากนั้นใช้แขนสองข้างยันพื้นพร้อมยกเฉพาะลำตัวขึ้นค้างไว้ ท่านี้จะช่วยยืดกล้ามเนื้อลำตัวช่วงบน



5. ว่ายน้ำ

โดยเฉพาะท่าฟรีสไตล์จะคล้ายๆ กับการยืดกล้ามเนื้อบริเวณลำตัว คล้ายการเล่นโยคะท่างูแต่ความต่างก็คือการว่ายน้ำจะทำให้แทบทุกส่วนของร่าง กายได้ออกกำลังไปพร้อมกัน



6. บาสเกตบอล

เป็นกีฬาอีกชนิดที่มีการผสมผสานระหว่างการวิ่งก้าวกระโดด และยืดกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นผลดีต่อการกระตุ้นความสูง แต่อย่างไรก็ตามกีฬาประเภทนี้อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บได้ง่ายจึงควรเล่นด้วย ความระมัดระวัง



7. พิลาทีส

เป็นการออกำลัง กายที่ช่วยเพิ่มความยาวของร่างกายทั้งช่วยบนและล่าง สำหรับผู้ที่หยุดสูงแล้ว พิลาทีสอาจจะช่วยยืดกระดูกเฉพาะช่วงบนเท่านั้น สำหรับช่วงล่างอาจจะต้องใช้วิธียืดกระดูกอื่นๆ ร่วมด้วย



8. คิกบ็อกซิ่ง

รวม ถึงกีฬาประเภทต่อสู้อื่นๆ มักจะช่วยยืดกระดูกช่วยแขน/ขา หากเล่นเป็นประจำจึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะเห็นนักกีฬาประเภทนี้มีแขน/ขา ยาวกว่าช่วงลำตัว